|

ตปท.ซื้อ-ไทยขายหุ้นไร้ทิศบิ๊กกองทุนเชื่อQ1-2ขาขึ้น
ผู้จัดการรายวัน(24 มกราคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
นักลงทุนมึนทิศทางหุ้นไทยกองทุนขายตลอด ขณะที่ต่างประเทศซื้อตลอด 4.4 หมื่นล้านบาท "พิชิต-ผู้จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี" เผยกองทุนยังทั้งซื้อและขาย พร้อมยอมรับมีกองทุนนอก 1 หมื่นล้านบาท แปลงสภาพจากปิดเป็นเปิดหลังหมดอายุ 10 ปี ทำให้มีความผันผวนบ้าง มีนักลงทุนบางส่วนไถ่ถอนหน่วยแต่ไม่มาก ระบุไตรมาส 1-2 สตอรี่หุ้นไทยขาขึ้น จากปัจจัยเศรษฐกิจ-Election Rally เงินตปท.ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ ตลาดหุ้นไทยติดกลุ่มน่าสนใจร่วมกับจีน-อินเดีย ย้ำเงินนอกลงหุ้นไทย 1 ล้านล้าน ด้านซิกโก้แนะจับตาเงินนอกใกล้ชิดหลังมีแรงขายที่ฮ่องกง
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกลับมาทรุดตัวลงอีกครั้งเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดระดับ 700 จุด มาปิดที่ 696.85 จุด (21 ม.ค.) หลังจากที่นักลงทุนตื่นเทขายทิ้งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) ออกมาอย่างหนัก ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมานับแต่ต้นปีซื้อสุทธิไปแล้วทั้งสิ้น 4.4 หมื่นล้านบาท
ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1.5 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท
บรรยากาศตลาดหุ้นไทยกลับมาคลุมเครือและไม่ชัดเจนอีกครั้ง ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นต่อไปได้จนถึงช่วงเลือกตั้งได้จริงหรือไม่ กำลังเป็นประเด็นที่น่าติดตาม
กองทุนเชื่อ Election Rally
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสองตลาดหุ้นไทยยังมีโกรทสตอรี่ค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจไทยที่ยังเป็นขาขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหรือแรงผลักดันจากการเลือกตั้ง (Election Rally) ซึ่งผู้จัดการกองทุนก็ยังเชื่อว่าเสถียรภาพทางการเมืองจะยังมีอยู่ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งต่างประเทศยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจอันดับต้นๆ และมีการเติบโตจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ประเทศจีน อินเดีย และนักลงทุนต่างประเทศยังไม่ไม่มีที่ไป เพราะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังไม่น่าสนใจ ศักยภาพการเติบโตไม่เท่าตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี
"บางตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนเป็นเลข 2 หลักก็จะสามารถดึงเงินให้เข้ามาได้มากกว่า แต่เงินเหล่านี้บางส่วนก็เลี่ยงยากว่าเป็นเงินระยะสั้น อาศัยค่าเงินบาทแข็ง นักลงทุนต่างประเทศหนีดอลลาร์มาเข้าเงินสกุลที่แพง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง" นายพิชิต กล่าว
เฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบไม่แรง
สำหรับประเด็นที่เป็นห่วงกันว่าหากเฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เงินไหลกลับไปยังสหรัฐฯ นายพิชิต กล่าวว่า ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยนั่นหมายถึงผลตอบแทนในสหรัฐฯจะดีขึ้นสำหรับคนฝากเงินและตราสารหนี้ จะส่งผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่าจะดึงไม่แรงและเชื่ออีกว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเยอะเพราะยังมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ
"เขาต้องสร้างสมดุลให้เศรษฐกิจโต ถ้าขึ้นดอกเบี้ยสูงก็จะเป็นการขัดกันเฟดคงไม่ผลีผลามขึ้น"
กล่าวอย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดหุ้นเพราะรับรู้กันว่าผลกำไรบริษัทจดทะเบียนจะโต 10-11%
เผยกองทุนตปท.หมดอายุ
นายพิชิตกล่าวถึงกรณีมีการระบุว่ากองทุนรวมเป็นผู้ขายหุ้นออกมาว่า โดยปกติกองทุนรวมจะไม่ขายหุ้นถ้าไม่จำเป็น โดยสาเหตุของการขายมาจากนักลงทุนไถ่ถอนหน่วยลงทุนต้องจ่ายเงินปันผล ซึ่งโดยภาพรวมก็ไม่มีกองทุนต้องจ่ายปันผลพร้อมๆ กันในขณะนี้ โดยรวมกองทุนก็ยังมีทั้งซื้อและขาย ซึ่งในส่วนของบลจ.เอ็มเอฟซีก็ไม่ได้เทขายหุ้นออกมาอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม นายพิชิตกล่าวยอมรับว่า มีกองทุนต่างประเทศที่ บลจ.เอ็มเอฟซีบริหาร เป็นลักษณะกองทุนปิด 10 ปี มูลค่ากองทุน 1 หมื่นล้าน บาท ซึ่งครบอายุโครงการแล้ว แต่ไม่ได้หมายความ ว่ากองทุนนี้จะต้องขายหุ้นออกมาหมดเพราะผู้ลงทุนไถ่ถอนหน่วยลงทุน เนื่องจากได้ใช้วิธีแปลงสภาพกองทุนดังกล่าวจากกองทุนปิดมาเป็นกองทุน เปิดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำตามกฎระเบียบสำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
"ผู้ลงทุนไม่ได้ไถ่ถอนหน่วยหมด 1 หมื่นล้านบาท บางคนอยากขายบางคนก็ยังอยากถืออยู่เราก็เลือกให้เป็นกองทุนเปิดซึ่งก็อาจทำให้มีความผันผวนบ้าง" นายพิชิตกล่าว
เงินตปท.ถือหุ้นไทย 25%
ในส่วนนักลงทุนต่างประเทศที่เรียกว่าซื้อมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาสสี่ของปี 2546 กระทั่งปี 2548 ก็ยังซื้อสุทธิอีก 4.4 หมื่นล้าน ทำให้เกิดความกังวลว่านักลงทุนต่างประเทศจะขายหุ้นไทยออกมา
นายพิชิตกล่าวว่า ที่ผ่านมานักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศทั่วไปมีการเก็บหุ้นไทยมาตลอด ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องมีการสร้างผลกำไร และมีการจ่ายเงินปันผล ดูมูลค่าซื้อสุทธิขายสุทธิวันละ 1-2 หมื่นล้านบาทอย่างเดียวถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อย เนื่องจากถ้าดูตัวเลขมูลค่าเงินลงทุนที่ต่างประเทศถืออยู่ประมาณ 25% ของมูลค่าตลาดรวมตลาดหลักทรัพย์ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ส่วนกองทุนถืออยู่ประมาณไม่ถึง 10% ไม่รวมกับส่วนของสถาบันประเภทอื่นที่มีมากกว่านี้
"ความเคลื่อนไหว 2 หมื่นล้านบาท ถือว่าน้อยมาก การขายที่เห็นเป็นเรื่องระยะสั้นที่ต้องมีการสร้างผลกำไร"
"มนตรี" แนะดูค่าเงินบาท
ด้านนายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ เศรษฐกิจและการลงทุน บล.ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความกังวลที่นักลงทุนต่างประเทศมีโอกาสขายหุ้นว่า หากพิจารณาในช่วงที่ผ่านมากลุ่มนักลงทุนต่างประเทศจะมีการย้ายการลงทุนไปเรื่อยๆ โดยตลาดหุ้นในเอเชียประเทศอื่นเริ่มมีแรงขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นในฮ่องกง ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไทยนักลงทุนควรติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย ต้องรอดูจากความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่จะเข้าซื้อขายในช่วงปีนี้ หากมีทิศทางที่ดีก็จะส่งผลต่อตลาดหุ้น รวมถึงส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายซึ่งเป็นรายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้มีการปรับตัวขึ้นได้
ขณะที่นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากดูจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยแล้ว นักลงทุนต่างประเทศยังไม่น่าจะรีบขายหุ้นออกมา แต่อย่างไรก็ตาม ก็สังเกตได้จากค่าเงินบาทหากค่าเงินบาทอ่อนค่า
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|