|
"PL" เพิ่มทุน-แตกพาร์หวังเพิ่มสภาพคล่องหุ้น
ผู้จัดการรายวัน(19 มกราคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"ภัทรลิสซิ่ง -PL" ปันผล 3.50 บาทต่อหุ้นเพิ่ม จากปีก่อน 27% "เกริกชัย" เผยเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ รอประเมินภาวะตลาด ก่อนกำหนดราคา พร้อมหวังเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นเมื่อมีการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท หลังนักลงทุนถือหุ้นไม่ยอมเทรด ชงเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ 31 ม.ค.นี้ ประเมินดอกเบี้ยขยับขึ้นแต่กระทบต้นทุนธุรกิจไม่มากนัก เตรียมขยายให้เช่าเรือยอชต์อีกครั้ง
นายเกริกชัย ศิริภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PL เปิดเผยว่า บริษัทฯได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 ม.ค.48 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท จากผลการดำเนินงานงวดปีสิ้นสุด วันที่ 30 ก.ย.47 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ได้มีการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นบริษัทตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2548 ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
ทั้งนี้ อัตราการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวถือเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยหากเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 27% และเพิ่มขึ้น 75% จากปี 45
นับแต่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นเวลา 10 ปี บริษัทมีผลกำไรและจ่ายเงินปันผลมาโดยตลอดยกเว้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่บริษัทงดจ่ายเงินปันผล 2 ปี โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในระดับ 50% ของผลกำไรสุทธิ
"ปกติบริษัทจะจ่ายปันผลครึ่งหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจเรื่อยมา และระดมทุนด้วยวิธีการออกหุ้นกู้มาขยายธุรกิจ โดยไม่ได้มีการเพิ่มทุนมาเป็นเวลา 8-9 ปีแล้ว จนกระทั่งต้นปีนี้บริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มทุนครั้งแรกนับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไทย"
บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาทเป็น 450 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 150 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ซึ่งจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยจะขอให้คณะกรรมการเป็นผู้กำหนดรายละเอียดการจัดสรรหุ้น ซึ่งคาดว่ากระบวนการเพิ่มทุนน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เนื่องจากต้องรอประเมินสถานการณ์โดยรวมและตลาดหุ้นอีกครั้ง"
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินที่จะได้จากการเพิ่มทุนจะสามารถรองรับการขยายตัวของบริษัทได้ประมาณ 4-5 ปี ส่วนราคาจะที่เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นนั้นจะเป็นราคาที่มีส่วนลด (discount) โดยจะเสนอขายในช่วงระหว่าง 60-70%
นายเกริกชัยกล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทยังได้อนุมัติให้มีการแตกพาร์(มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยในการเพิ่มทุนและแตกพาร์มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1. เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อขยายเงินกองทุนจากระดับประมาณ 1 พันล้านเป็น 1.5 พันล้านบาท 2.เพื่อขยายจำนวนผู้ถือหุ้น และสร้างสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนและการแตกพาร์จะต้องให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ
"ความจริงเรามีการศึกษาการแตกพาร์มาพอสมควร ซึ่งตลาดหลักทรัพย์เองก็ประสงค์อยากให้มีการใช้กลไกเหล่านี้ และมีตัวอย่างให้เห็น ว่ามี 30 กว่าบริษัทที่ได้มีการแตกพาร์ไปแล้ว เราก็อยากเห็นหุ้นมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ให้ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท" นายเกริกชัยกล่าว
นายเกริกชัย กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นของบริษัทไม่ค่อยมีการซื้อขายมากนักเนื่องจากนักลงทุนที่เข้าลงทุนจะเป็นลักษณะการถือเพื่อรอรับเงินปันผลเพราะที่ผ่านมาบริษัทมีการจ่ายเงิน ปันผลอย่างต่อเนื่องและจ่ายในระดับสูง ฐานะทางการเงินของบริษัทก็ค่อนข้างเข้มแข็งและเติบโตมาตลอด โดยการเติบโตของบริษัทในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ซึ่งโตสูงกว่าอุตสาหกรรม เพียงแต่ไม่สามารถเทียบกับใครได้ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจในรูปแบบเดียวกับบริษัท
"ของเราเป็นโอเปอเรติ้งลีสซิ่ง ส่วนรายอื่นในตลาดหุ้นเป็นเช่าซื้อของเราเน้นการให้เช่ากับนิติบุคคลมากกว่าประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทมีรถยนต์เพื่อให้เช่าประมาณ 6 พันคัน ซึ่งใช้งานเต็มจำนวนทั้งหมด ทั้งนี้ในอนาคตบริษัทอาจจะมีการขยายไปในส่วนของการให้เช่าเรือยอชต์ขนาดเล็ก และกลางหลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยหยุดให้เช่าเรือไปเมื่อหลายปีก่อน"
"บุ๊กแวลูอยู่ที่ 33 บาท เป็นบริษัทที่มีมาร์เกต แคปขนาดกลาง 1.5 พันล้านบาท และจะเป็น 2 พันล้านบาท หลังจากเพิ่มทุนจดทะเบียน และเมื่อมีการแตกพาร์ ราคาหุ้นก็จะลดลงไป ก็หวังจะให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น"
นอกจากนี้นายเกริกชัย ยังกล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยหลายบริษัทราคายังอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ
ในส่วนของภาพรวมหรือทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ต้องถือว่าประมาทไม่ได้ มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นและยังต้องจับตามอง
"โดยส่วนตัวเชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้น การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจจะลดลง ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับลดลงบ้าง ซึ่งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยจะกระทบต้นทุนของบริษัท แต่ก็เป็นปัจจัยกระทบไม่มากนัก" นายเกริกชัยกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|