อิตาเลียนไทย ฐานะการเงินแข็งแกร่ง หลังศาลล้มละลายกลางสั่งรับแผน ฟื้นฟู
เหตุมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้มูลค่าเกือบ 7 พันล้านบาท โดยจะรับรู้ภายในไตรมาส
2 ปีนี้
ขณะที่ภาระหนี้สินลดลงเหลือเพียง 3 พันล้านบาท จากเดิมสูงกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
และส่วนของผู้ถือพลิกกลับเป็นบวก 9.6 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารุกประมูลโครงการ
ในต่างประเทศเพิ่มสัดส่วนถึง 75%
และคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ 200-300 ล้านบาท จากกรณีที่ศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการ
ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อป เม้นต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ที่จัดทำโดยบริษัท
ไอทีดี
แพลนเนอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545 ที่ผ่านมา หลังจากที่ผ่านการพิจารณาจากเจ้าหนี้ด้วยคะแนนเสียง
80.45% หรือคิดเป็นมูลหนี้รวม 15,146 ล้านบาท จากจำนวนหนี้ที่เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น
18,828
ล้านบาท ทั้งนี้ ก่อนที่ศาลจะอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการฉบับดังกล่าว ได้มีเจ้าหนี้
หลายรายยื่นคำร้องคัดค้าน โดยระบุว่า แผนฟื้นฟูกิจการของ ITD ไม่เป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทุกกลุ่ม
โดยเฉพาะเจ้าหนี้หุ้นกู้
แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าหนี้ที่เป็นบริษัทในเครือของ ITD เอง แต่หลังจากที่ศาลพิจารณาคำร้องของกลุ่มเจ้าหนี้
แล้วศาลเห็นว่า การดำเนินการขอผู้ทำแผนเป็นไปตาม ขั้นตอนของกฎหมาย
และตามแผนฟื้นฟูเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ครบตามที่ระบุในแผน ดังนั้น
จึงมีมติอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ทำ การวิเคราะห์ฐานะการดำเนินงานของบริษัท
อิตาเลียนไทย
ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ว่า หลังจากศาลอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการ
ITD จะทำให้บริษัทมีฐานะการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะบริษัทจะเร่ง
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ
ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถกลับ เข้ามาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และเอื้อ ประโยชน์ต่อการเข้าประมูลงานในอนาคต
"อิตาเลียนไทยฯ จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนและการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการทันที
และคาดว่า จะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายใน 2 เดือน และคาดว่าจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายใน
6 เดือน" นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย
ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD กล่าวหลังจากศาลล้มละลายกลางเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการ
ITD โดยขั้นตอนการดำเนินการตาม แผนฟื้นฟูกิจการนั้น ภายในสัปดาห์นี้ ITD
จะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
เพื่อขออนุญาตเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 173 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
10 บาท เพื่อแบ่งจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
และการแปลง หนี้เป็นทุนให้กับกลุ่มเจ้าหนี้ ประกอบกับ การที่ศาลเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการ
จะส่งผลให้บริษัทมีความมั่นคงและความสามารถในการประมูลงานทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น
เพราะขณะนี้บริษัทประมูลงานได้หลายโครงการโดยเฉพาะงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเจ้าของโครงการกำลังรอคำสั่งจากศาลล้มละลายกลางว่าจะให้บริษัทฟื้นฟูกิจการหรือไม่
หลังจากนี้ก็ดำเนินการได้ทันที
รวมถึงโครงการสุวรรณภูมิด้วย สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2545 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญารับเหมาก่อสร้างรวมทั้งประมาณ
10,000 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ประมาณ 7,000 ล้านบาท
ขณะที่โครงการที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้วรวมกว่า 54,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้รวมเข้ามาในปีนี้ไม่ต่ำกว่า
10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 200-300 ล้านบาท
ส่วนโครงการใหม่ภายในปีนี้ ประกอบด้วยโครงการน้ำเทิน 2 ในประเทศลาว ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมกับพันธมิตรมูลค่าโครงการ
5,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างส่วนต่อเนื่องสนามบินสุวรรณภูมิ
มูลค่าโครงการประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังจะเปิดให้มีการประมูล บริษัทคาดว่าจะสามารถประมูลงานได้ในบางส่วน
รวมทั้งงานก่อสร้างของภาค ราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
ขณะนี้เดียวบริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานใหม่ โดยภายใน 2 ปีนี้ ITD มีแผนที่จะขยายงานรับเหมาก่อสร้างในต่างประเทศ
ที่ขณะนี้กำลังดำเนิน การอยู่ประมาณ 7-8 ประเทศ เนื่องจากโครงการใหญ่ๆ
ในประเทศเริ่มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนโครงการก่อสร้าง
ในต่างประเทศเป็น 75% จากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 25% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด
สำหรับโครงการก่อสร้างในต่างประเทศหลักๆ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ในประเทศไต้หวัน
มูลค่าโครงการ 20,000 ล้านบาท ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30%
โครงการปรับปรุงเหมืองในประเทศอินโดนีเซีย มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท อายุโครงการ
8 ปี และคาดว่าจะสามารถประมูลเพิ่มในโครงการต่อเนื่องอีกมูลค่า 15,000 ล้านบาท
อายุโครงการ 5
ปีและงานก่อสร้างในประเทศไต้หวันและฟิลิปปินส์ "บริษัทรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น
เพราะใน ประเทศไม่มีโครงการใหม่ๆ ออกมา รวมทั้งโครงการ ในต่างประเทศมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า
คือ
ต่างประเทศมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 10-30% ขณะที่ ในประเทศมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง
7-10% เท่านั้น" รวมทั้ง ITD คาดว่ายังมีโอกาสสูงที่จะได้รับงานในโครงการอื่นๆ
ของสนามบินหนองงูเห่าที่จะเปิดประมูลอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนที่ต่ำ
และมีงานในสนามบินหนองงูเห่าอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว 3 โครงการ คือ โครงงานถมดิน
งานบำบัดน้ำเสีย
และงานตอกเสาเข็มในสนาม บินหนองงูเห่า ซึ่งมีมูลค่ารวม 8,902.4 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่นักวิเคราะห์ ได้ให้ความสนใจคือ การปรับโครงสร้างหนี้ของ
ITD
บริษัทจะมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้รวมทั้งสิ้นประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท
และทำให้ภาระหนี้สินลดลงจาก 13,295 ล้านบาท ในปี 2544 เหลือเพียง 3,000 ล้านบาท
ในปีนี้
ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงจากปีละ 1,225 ล้านบาท เหลือเพียง 160 ล้านบาท
ทั้งนี้ผู้บริหารของ ITD เคยให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ
6,000-7,000 ล้านบาท
และคาดว่าจะสามารถบันทึกรับรู้รายได้ดังกล่าวภายในไตรมาส 2 ของปี 2545 นี้
ขณะเดียวกันส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ติดลบอยู่ประมาณ 856 ล้านบาท
เป็น 9,615 ล้านบาท
จากการบันทึกกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 6,000 ล้านบาท และการส่วนเกินมูลค่าหุ้นจากการเพิ่มทุน
1,845 ล้านบาท รวมทั้งหลังจากปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ITD ยังมีแผนที่จะนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่มีอยู่
7,405
ล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสมที่คาดว่าจะเหลือ 1,659 ล้านบาทให้หมดในปี 2545
ซึ่งจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอีก โดยในปี 2544 ที่ผ่านมา
บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 2,527.99 ล้านบาท
ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 10.11 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ
3,966.78 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 15.87 บาท ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น
ITD หลังจากศาลมีคำสั่งรับแผนฟื้นฟูฯ เมื่อวันที่ 4
เมษายน 2545 ปรากฏว่า ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลง หลังจากที่ได้บวกขึ้นไปตั้งแต่วันก่อน
คือปิดการซื้อขายที่ 20.80 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.80 บาท และวันต่อมาได้ปรับตัวลงมาปิดที่
20.50 บาท ลดลงอีก 0.30 บาท
มูลค่าการซื้อขายรวม 74.34 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า
ณ ระดับราคาในปัจจุบัน ยังเป็นราคาที่น่าสนใจลงทุน โดยราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณหุ้นละ
24 บาท
ส่วนรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการ ITD ที่จัดทำขึ้นโดยไอทีดี แพลนเนอร์
จำกัด และผ่านความเห็นชอบจากเจ้าหนี้นั้น ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญๆ คือ ขั้นตอนแรก
การเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนรวม 50 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ
10 บาท กำหนดเงื่อนไขว่า "ตระกูลกรรณสูต" จะต้องซื้อหุ้นอย่างต่ำ 20 ล้านหุ้น
จะทำ
ให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่มนี้มีสัดส่วนการถือหุ้นราว 40% ทำให้ ITD ได้รับเงินจากการขายหุ้นอย่างต่ำ
200 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไป รวมเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก
(Non Core) มูลค่า 1,700 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1,900 ล้านบาท โดยเงินทั้งจำนวน
1,900 ล้านบาท ITD จะนำไปซื้อหนี้ในส่วนลด โดยมีเงื่อนไขเจ้าหนี้จะต้องลดหนี้ให้ไม่ต่ำกว่า
65% ซึ่งจะใช้วิธีการประมูล
คือเจ้าหนี้รายใดเสนอราคาส่วนลดให้สูงที่สุดจะได้รับเงินไปก่อน แต่ทั้งนี้จะต้องไม่น้อยกว่า
65% และจาก การซื้อคืนหนี้ส่วนลดหนี้จำนวน 1,900 ล้านบาท จะทำให้มูลหนี้ลดลงประมาณ
5,000 - 6,000 ล้านบาท
ขั้นตอนที่ 2 การแปลงหนี้เป็นทุน โดยบริษัทได้กำหนดให้มีการแปลงหนี้เป็นทุนรวมทั้งสิ้น
80 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นการแปลงหนี้เป็นทุนด้วยความสมัครใจ และจะใช้วิธีการประมูล
คือ
เจ้าหนี้รายใดเสนอให้ราคาสูงสุดก็จะได้รับหุ้นไป ส่วนหนี้ที่เหลือมูลค่า
4,000 ล้านบาท จะโอนไปยังบริษัทเฉพาะกิจ (SPV) ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และจะมีการโอนทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักมูลค่า
4,000 ล้านบาท
เพื่อบริหารทรัพย์สินและหนี้สินส่วนนี้ ด้วยการขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้
ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี โดยทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่จะโอนให้กับ
SPV ส่วนใหญ่จะเป็นเงินลงทุนในบริษัท
ไทยเทเลโฟน แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T และบริษัท
ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือBTSC รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก
1,000 ล้านบาท
เป็นสินทรัพย์ที่เป็นที่ดิน อาคาร และอื่นๆ ขั้นตอนที่ 3 มูลหนี้ 2,000
ล้านบาท คือ หนี้ที่บริษัทจะต้องทยอยชำระ โดยแบ่งจ่ายภายใน 6 ปี โดยใน 2
ปีแรกไม่ต้องชำระคืนเงินต้น อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ MLR-3%
และขั้นตอนสุดท้าย หากมีหนี้สินคงเหลือบริษัทจะมีการบังคับให้แปลงหนี้เป็นทุนในจำนวน
43 ล้านหุ้น ด้วยการนำมูลหนี้ที่เหลือมาเฉลี่ยเป็นราคาแปลงสภาพ แต่ทั้งนี้ราคาแปลงสภาพ
จะต้องไม่ต่ำกว่า 10 บาท