"อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์" เผยแผนธนาคารนครหลวงไทยใหม่ ขอเพิ่ม
สินทรัพย์ดีผ่านการซื้อหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยกับเอเอ็มซีเพชรบุรี
90,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสินเชื่อ
แสนล้านและรองรับการไถ่ถอนเอเอ็มซีโน้ตของกองทุนฟื้นฟูเชื่อศักยภาพ แข่งแบงก์เอกชนขนาดใหญ่พร้อมสนับสนุนธนาคารกรุงไทย
หม่อมอุ๋ยเสียงดัง
มอบหมายนโยบายขายแบงก์ในอนาคตต้องเฉพาะกลุ่มคนไทยเท่านั้นที่มีสิทธิ์ "สมคิด"
ยันรวมกิจการ เพื่อความแข็งแกร่ง และวานนี้แบงก์ยังแจ้งตลาดหลักทรัพย์
เกี่ยวกับการเพิ่มทุนหมื่นล้านโดยการซื้อสินทรัพย์จากศรีนคร ในขณะกระแสตอบรับวันแรกลูกค้ามั่นใจไม่มีตื่นถอนเงิน
ผ่าแผนธนาคารนครหลวงไทยหลังควบรวม กิจการ "อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์"
ตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์ดีผ่านการ ซื้อหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วใน "บสท.-เอเอ็มซีเพชรบุรี"
ประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท
หวังเป็นทางลัดดันสินเชื่อ เพิ่มแสนล้าน รองรับการไถ่ถอนเอเอ็มซีโน้ตของกองทุนเพื่อ
การฟื้นฟูเฉลี่ย 20% ต่อปี ลั่นแข่งแบงก์เอกชนขนาดใหญ่แต่หนุนกรุงไทย
เผยหากจะขายนครหลวงไทยในอนาคตหม่อมอุ๋ยให้นโยบายขายเฉพาะกลุ่มคนไทย นายอภิศักดิ์
ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทยจำกัด (มหาชน)(SCIB) หรือแบงก์ชฎา
เปิดเผยว่า
กระบวนการควบรวมกิจการ ระหว่างธนาคารกับธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) (BMB)
จะเสร็จภายในสิ้นปี 2545
โดยระยะแรกลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับธนาคารศรีนครยังคงดำเนินธุรกรรมตามปกติ
หลังจากนั้นจะมีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ร่วมกัน โดยจะเสร็จสมบูรณ์ภายใน 6
เดือนนี้
"ลูกค้าเงินฝากของธนาคารศรีนครนั้นเมื่อครบ กำหนดจะได้รับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารศรีนคร
ส่วนลูกค้าเงินกู้ของธนาคารศรีนครที่กู้ในอัตราดอกเบี้ยเบิกเกินบัญชี (MOR)จะได้รับการลดอัตราดอกเบี้ยลง
0.25% โดยใช้ฐานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารนครหลวงไทย" สำหรับแผนการดำเนินงานภายหลังการควบกิจการ
ธนาคารจำเป็นต้องขยายสินเชื่อให้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น
20% เฉลี่ย 5
ปีเพราะตั๋วเงิน (เอเอ็มซีโน้ต) ที่ธนาคารนครหลวงไทยได้รับจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(FIDF) จำนวน 3 แสนล้านบาทจะครบกำหนดไถ่ถอนในงวดแรกกลางปี 2545 ประมาณ 20%
และขยายออกไปจนครบเวลา 5 ปี "ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ธนาคารจะขยายสินเชื่อได้มาก
ในภาวะขณะนี้นั่นหมายถึงธนาคารจะต้องทำสินเชื่อให้ได้ประมาณเกือบสองแสนล้านบาทภายในระยะ
5 ปี
เพื่อรองรับกับสินทรัพย์ที่จะลดลงจากการไถ่ถอน ตั๋วเอเอ็มซีโน้ตแต่ตรงกันข้ามธนาคารจะมีสภาพคล่อง
เข้ามาจากการไถ่ถอนซึ่งจะนำไปลงทุนในด้านอื่นๆได้" นายอภิศักดิ์ กล่าว
ผ่าแผนสินเชื่อแสนล้านบาท
ซื้อหนี้บสท.-เอเอ็มซีเพชรบุรี สำหรับหนทางที่จะทำให้ธนาคารมีสินเชื่อที่เพิ่ม
ขึ้นเพื่อรองรับกับสินทรัพย์ของธนาคารและภาระต้น ทุนเงินฝากที่มีจำนวนมากนั้นนายอภิศักดิ์กล่าวอย่าง
ชัดเจนว่า
ใช้วิธีการเข้าไปรีไฟแนนซ์หนี้จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และบริษัทบริหารสิน
ทรัพย์(เอเอ็มซี) เพชรบุรี (PAM) ซึ่งมีลูกหนี้ของธนาคารโอนไปก่อนหน้านี้
โดยในเบื้องต้นธนาคารมีแผนที่จะซื้อหนี้มาเพิ่ม เป็นสินเชื่อดีให้กับธนาคารประมาณ
80,000-90,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้วิธีคำนวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (P/V) ของลูกหนี้แต่ละรายตามกระบวนการปรับโครง
สร้างหนี้ที่ได้มีกำหนดกันไว้ "การคำนวณวิธีนี้ ไม่เป็นปัญหากับใคร
ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงโครงสร้างในอนาคตให้ กับบสท.เอเอ็มซีเพชรบุรี
รวมถึงกองทุนเพื่อการฟื้น
ฟูฯที่อาจไม่ได้รับความเสี่ยงซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้การทำงานของบสท.
และเอเอ็มซีจบเร็วขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารจะได้รับสินทรัพย์ดีเพิ่มขึ้นตาม
มาด้วย
ส่วนการบริหารความเสี่ยงก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารแล้วว่าจะทำได้ดีแค่ไหนซึ่ง
วิธีของธนาคารอาจจะแตกต่างกับธนาคารรัฐแห่งอื่นก็ได้" นายอภิศักดิ์
กล่าวและว่า นครหลวงไทยมีสิน
ทรัพย์ดีอยู่ประมาณ 76,000 ล้านบาท แต่มีเงินฝากอยู่ถึง 240,000 ล้านบาท
ดังนั้นแม้ว่าจะได้ตั๋วสัญญาใช้เงินของ PAM จากกองทุนฟื้นฟู เพื่อซื้อหนี้
150,000 ล้านบาท ที่จะให้ให้สินทรัพย์ของแบงก์เพิ่ม ขึ้นเป็น
240,000 ล้านบาท แต่ต้องเข้าใจว่าตั๋วที่กอง ทุนฟื้นฟูให้มานั้นเป็นการช่วยเหลือและจะเอากลับไป
ปีละ 20% เท่ากับว่า สินทรัพย์ของธนาคารจะหดลงปีละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000
ล้านบาทต่อปี
เมื่อพิจารณาในส่วนของสินทรัพย์ของนครหลวงไทยหลังควบกิจการกับศรีนครจะมีสิน
ทรัพย์ทั้งสิ้น 4.9 แสนล้านบาท เป็นเงินฝากถึง 4.3 แสนล้านบาท แต่มีสินเชื่อเพียง
1.2 แสนล้านบาท ซื้อสินทรัพย์ศรีนคร
เพิ่มทุนหมื่นล้านขาย FIDF ธนาคารนครหลวงไทย แจ้งต่อตลาดหลัก ทรัพย์ว่า
เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมาคณะกรรมการธนาคารมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของธนาคารจากเดิม10,564
ล้านบาทหรือ 1,056 ล้านหุ้น
รวมเป็นทุน จดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 21,128 ล้านบาท โดยธนาคารจะจัดขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายตามสัดส่วน
1 หุ้นเดิม มีสิทธิจองซื้อหุ้น ใหม่ 1 หุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท
เป็นเงินทั้งสิ้น 10,564 ล้านบาท กำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นในวันที่
12 เมษายน 2545 และกำหนด วันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม
2545 นายอภิศักดิ์
กล่าวเสริมว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้ก็นำเงินเพิ่มทุนไปซื้อสินทรัพย์จากธนาคารศรีนคร
โดยการเพิ่มทุนจำนวน 10,560 ล้านบาทจะซื้อสินทรัพย์ของธนาคารศรีนครประมาณ
9,888 ล้านบาท
หลังจากนั้นทางธนาคารศรีนครเดิมจะลดทุน เพื่อชำระคืนกับผู้ถือหุ้นคือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
"การเพิ่มทุนครั้งนี้นอกจากเป็นไปตามกระบวนการควบรวมแล้วทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
ไม่ต้องใช้เงินแต่ผลที่ดีขึ้นคือธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าต่อรายลูกค้าได้เพิ่มขึ้นคือสูงสุดไม่เกิน25%
ของเงินกองทุนจดทะเบียนใหม่ 28,560 ล้านบาท" นอกจากนี้
จะรายงานการรวมกิจการระหว่างธนาคารกับธนาคารศรีนครให้แก่ผู้ถือหุ้นรับทราบใน
วันประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2545 ในวันที่ 29 เมษายน 2545 คณะกรรมการจะเสนอให้ผู้ถือหุ้น
พิจารณาให้สัตยาบันและอนุมัติให้โอนขายลูกหนี้ด้อย คุณภาพให้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรีเพิ่มเติม
เป็นครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2545 ใช้ยอดหนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2545 จากครั้งที่ 1
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2544 ลูกหนี้รวม 449 ราย ใช้ยอดหนี้ ณ วันที่ 31
ธันวาคม 2544 รวม 7,685,467,578.76 บาท สำหรับหลักเกณฑ์ วิธีการและราคาขายหนี้ด้อยคุณภาพกำหนดให้ราคาขายหนี้ด้อยคุณภาพเท่า
กับราคาหนี้ด้อยคุณภาพตามบัญชี ซึ่งได้แก่ เงินต้นและดอกเบี้ยที่รับรู้เป็นรายได้แล้วและค่าใช้จ่ายที่
ธนาคารฯ จ่ายสำรองแทนลูกหนี้ไปก่อน หักด้วยเงิน สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้รายนั้นที่มีอยู่
ณ
วันที่ 30 มิถุนายน 2544 ต้นทุนพนักงานต่ำกว่าระบบ สู้แบงก์เอกชน-หนุนกรุงไทย
นายอภิศักดิ์กล่าวถึงผลจากการควบรวมทำ ให้ต้นทุนของพนักงานต่อคนลดลงเมื่อเทียบกับต้นทุนของทั้งระบบ
กล่าวคือปัจจุบันต้นทุนค่าใช้จ่าย พนักงานทั้งระบบเฉลี่ยอยู่ที่ 30,000
บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนต้นทุนค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารหลังควบรวมจะเฉลี่ยอยู่ที่
22,000 บาทต่อคนต่อเดือน
"เป้าหมายจากนี้ไปธนาคารจะแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และจะรักษาอันดับ
1 ใน 5 ของระบบต่อไป เพราะคู่แข่งขันของธนาคารไม่ใช่ธนาคารขนาดเล็กแต่เป็น
5
แบงก์ใหญ่โดยเฉพาะต้นทุนของธนาคารที่ต่ำลงสามารถแข่งขันได้แน่นอน แต่สำหรับธนาคารกรุงไทยธนาคารจะสนับสนุนในการ
ทำธุรกิจซึ่งไม่ใช่คู่แข่งขันทางธุรกิจอย่างชัดเจน
เพราะว่ากรุงไทยเป็นธนาคารของรัฐซึ่งจะมุ่งลูกค้ารัฐวิสาหกิจและลูกค้ารายย่อยบ้างส่วนธนาคารลูกค้า
ทั้งสองแห่งรวมกันจะเป็นกลุ่มรายย่อยค่อนข้างมาก" นายอภิศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม
ทิศทางของผลประกอบการของ ธนาคารหลังควบรวมจะเป็นแบบก้าวกระโดดและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างเช่นช่วง
2 เดือนที่ผ่านมาทั้งสองธนาคารมีผลประกอบการกำไร โดยธนาคารนครหลวงไทยมีกำไร
1,200
ล้านบาท ธนาคารศรีนคร กำไร 340 ล้านบาท "เชื่อว่าไตรมาสของปีนี้ก็น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น
โดยจะใช้งบของธนาคารนครหลวงไทยเป็นเกณฑ์และหมายเหตุใต้งบการเงินว่าของธนาคารศรีนครกำไรเท่าไหร่"
เลื่อนแผนแปรรูปรอควบ หม่อมอุ๋ยลั่นขายคนไทย นายอภิศักดิ์กล่าวว่า การแปรรูปของธนาคารนครหลวงไทยอาจเลื่อนไปเป็นปี
2546 เนื่องจาก กระบวนการควบกิจการระหว่าง 2
ธนาคารคาดว่าจะเสร็จและสมบูรณ์ต้องใช้เวลา 1 ปีและมีความเป็น ไปได้ว่าการแปรรูปจะเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยมากกว่าที่จะขายให้กับต่างประเทศ
"ผู้ว่าแบงก์ชาติ (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล) มี
นโยบายชัดเจนที่จะขายให้กับคนไทยมากกว่าที่จะขาย ให้กับต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นก่อนการควบรวมคงขาย
ธนาคารทั้งสองไปแล้ว และการควบกิจการครั้งนี้ส่งผลให้การดำเนินงานมีแนวโน้มดีขึ้น
ราคาหุ้นที่จะขาย ก็น่าจะดีกว่าการแบ่งเป็น 2 แบงก์แล้วแปรรูป อย่าลืมว่าทั้งสองธนาคารมีสินทรัพย์ดีหลังจากที่ได้โอนหนี้
ไปยังเอเอ็มซีเพชรบุรี ซึ่งต่างจากการควบรวมในอดีต
ที่จะนำสินทรัพย์ที่มีปัญหามาควบรวมกันทำให้เกิดปัญหา และใช้เวลาในการแก้ไขที่นาน
ซึ่งการควบรวมครั้งนี้ค่อนข้างเร็วทำให้ธนาคารสามารถขยายตัวได้เร็วขึ้น"
นายอภิศักดิ์กล่าว สมคิดยันควบเพื่อแข็ง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
กล่าวว่า การควบรวมกิจการของธนาคารศรีนครและธนาครหลวง ไทย เป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการที่จะปรับโครงสร้าง
ภาคธุรกิจให้มีความเข้มแข็งโดยเฉพาะในส่วนของสถาบันการเงิน "ทั้ง 2
แห่งเป็นสถาบันการเงินขนาดเล็กการควบรวมกัน ถือเป็นแนวทางในการสร้างความเแข็งแกร่ง
และสามารถแข่งขันกับสถาบันการเงินขนาด ใหญ่ได้เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในอนาคต"
นายสมคิดกล่าวและว่า
การควบรวมกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงานและผู้ฝากเงิน แต่จะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารต่ำลง
โดยขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการ คือ การรวมบัญชี
การรวมระบบคอมพิวเตอร์ และการวางยุทธศาสตร์การดำเนินงานในอนาคต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธนาคารเพราะจะทำให้ผู้ฝากเงินมีความมั่นใจมากขึ้น
สำหรับแนวนโยบายของรัฐบาลในการถือหุ้นสถาบันการเงินนั้นรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะเป็นผู้ถือหุ้น
ใหญ่ในช่วงแรกแต่จะลดสัดส่วนลงเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรว่ามีความเหมาะสมในการกระจายหุ้นออกไปอย่างไร
ส่วนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
ถือเป็นผู้ที่สนใจจะลงทุนในสถาบันการเงินรายหนึ่งซึ่งในอนาคตก็จะต้องมีการเจรจาถึงแนวทางและความเป็นไปได้ต่อไป
วันแรกลูกค้ามั่นใจแผน ธปท.รอลุ้นอีกหนึ่งวัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศช่วงเช้าวานนี้
ที่ธนาคารศรีนคร หลังเปิดทำการเวลา 08.30 น. ปรากฏว่า การทำธุรกรรมของลูกค้าทั้งในส่วนของเงิน
ฝากและสินเชื่อยังคงเป็นไปตามปกติ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังมีมติ
ให้ธนาคารศรีนครควบกิจการกับธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ซึ่งมีผลตั้งแต่วานนี้
(1 เม.ย.) นายถนอม ณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารศรีนคร เปิดเผยว่า
ขอให้ผู้ฝากเงินหรือผู้ที่จะเข้ามาขอรับสินเชื่อธนาคารอย่าได้ตื่นตระหนก
เพราะการรวมกันระหว่าง 2 ธนาคารจะส่งผลดีต่อการ ดำเนินธุรกิจในอนาคตและธนาคารก็ได้เตรียมสภาพ
คล่องไว้รองรับการทำธุรกรรมตามปกติแล้ว "เช้านี้ผมได้เช็กข้อมูลพบว่า
การทำธุรกรรมของ ลูกค้าสินเชื่อและเงินฝากยังเป็นไปตามปกติ โดยในส่วนของธนาคารได้เตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการ
ทำธุรกรรมของลูกค้าเรียบร้อยแล้ว" สำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาขอรับสินเชื่อหรือฝากถอนเงินตามปกติก็สามารถดำเนินการได้
ส่วนลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ตามปกติเช่นกัน นายสรสิทธิ์
สุนทรเกศ ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจ สอบ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
เปิดเผยถึงสถานการณ์การเบิกถอนเงิน ของลูกค้าธนาคารศรีนครในช่วงครึ่งวันของวานนี้
หลังทางการประกาศควบรวมธนาคารศรีนครเข้ากับธนาคารนครหลวงไทยว่ายังเป็นสถานการณ์ปกติ
โดย ลูกค้ายังเข้ามาทำธุรกรรมอย่างต่อเนื่องและไม่มีการแห่ถอนเงินฝากแต่อย่างใด
"ช่วงเช้าที่ผ่านมาสถานการณ์การทำธุรกรรมของลูกค้าธนาคารศรีนครยังเป็นไปอย่างปกติและที่น่าดีใจคือ
ในภาคเหนือมีการฝากสุทธิเพิ่มขึ้น 8-9 ล้านบาทจากลูกค้า 130 ราย ส่วนภาคอีสานมีการถอน
สุทธิ 50
ล้านบาท แต่โดยรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนแบงก์อื่นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ"
สำหรับศูนย์ฮอตไลน์ของธปท.มีประชาชนเข้ามาสอบถามน้อยมากเพียง 60 ราย
ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝากเงินที่เข้ามาสอบถามถึงแนวทางปฏิบัติด้านการเปลี่ยนแปลงสมุดบัญชีเงินฝาก
รวมถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าจะได้รับ
นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เข้ามาสอบถามถึงความชัดเจนในสถานภาพและเจ้าหนี้
รวมถึงผู้ถือหุ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ธปท.จะต้องติดตามสถานการณ์ อีก 1 วันถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่น่าเป็นห่วง