|
"เจเอสแอล"รุกสิ่งพิมพ์รายได้ทีวีหด
ผู้จัดการรายวัน(14 มกราคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
เจ เอส แอล รุกขยายงานธุรกิจอีเวนต์ รับตลาดโต ตั้งเป้าปี 48 รายได้ 1.5 พันล้าน โต 50% ขณะที่ทุกปีอัตราเติบโตของบริษัทจะอยู่ประมาณ 10% เหตุรายได้หลักจะมาจากธุรกิจผลิตรายการทีวี ยอมรับรายได้จากโฆษณาทีวีปีนี้ฝืด เตรียมขยายงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ สั่งสำนักพิมพ์บูรพาศึกษาเปิดนิตยสารใหม่
นางจำนรรค์ ศิริตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอส แอล จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้น ในปี 2548 บริษัทมีแผนบุกขยายงานด้านอีเวนต์ให้มากขึ้น เพราะมองเห็นว่าตลาดรวมในธุรกิจนี้ขยายตัวสูง ประกอบกับบริษัทมีงานที่ประมูลได้ตั้งแต่ปี 2547 แต่เลื่อนมาจัดงานในปีนี้ถึง 2 งาน คืองานแฟชั่นโรดโชว์ มูลค่า 150 ล้านบาท และงาน เอ็กซ์โป ที่จะจัดในเดือนมีนาคม มูลค่า 200 ล้านบาท ดังนั้น ในปีนี้จึงตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,150-1,500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 15-50% โดยปี 2547 บริษัทมีรายได้ราว 1,000 ล้านบาท คิดเป็นกำไรประมาณ 10% ซึ่งปกติแล้ว การเติบโตทุกๆปีของบริษัทจะเฉลี่ยที่ 10% ซึ่งปีนี้หากแผนบุกงานอีเวนต์ประสบความสำเร็จ ผลประกอบการก็จะเติบโตสูง แต่หากมีแค่ธุรกิจรายการโทรทัศน์ที่เป็นรายได้หลัก ก็จะเติบโตประมาณ 10% เท่าเดิม
สำหรับรายละเอียดของรายได้ในปี 2547 แบ่งเป็นรายได้จากบริษัท เจ เอส แอล 550 ล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้จากบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท ไอดี วัน เทเลวิชั่น จำกัด 40 ล้านบาท บริษัท ไทเกอร์ แทคทีม จำกัด 10 ล้านบาท รายได้จากการผลิตสารคดี 50 ล้านบาท รายได้จากสตูดิโอ 95 ล้านบาท จากธุรกิจออแกไนซ์ของบริษัท เจ เอส แอล 100 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้เป็นรายได้ที่หายไปถึง 100 ล้านบาท เพราะมีบางงานที่ประมูลได้แต่เลื่อนเวลาจัดงาน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงการงดจัดเคาต์ดาวน์ และเงินที่ได้จากกิจกรรมที่ช่อง 7 ก็บริจากให้ผู้ประสบภัยสึนามิ
นอกจากนั้นยังมีรายได้จากบริษัท เอไอ ไทยแลนด์ จำกัด 30 ล้านบาท บริษัท เดอะ ซัน 20 ล้านบาท บริษัท โมโด จำกัด 20 ล้านบาท บริษัท จี เอ เมริท จำกัด 10 ล้านบาท และบริษัท มายด์แมทเทอร์ส จำกัด 30 ล้านบาท รวมทั้งหมดจะประมาณที่ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้หลักของบริษัท 60% ยังมาจากการผลิตรายการโทรทัศน์ ของทั้งบริษัท เจ เอส แอล และบริษัทในเครือ และ 18% เป็นรายได้จากธุรกิจออแกไนซ์ของ เจ เอส แอล และ 22% เป็นรายได้จากธุรกิจออแกไนซ์ของบริษัทในเครือ เช่น บ.โมโด บ. เดอะซัน และ บ.จี เอ เมริท
"ปีนี้เรามีโปรเจกต์ใหม่เยอะมาก โดยเฉพาะงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่ง เจ เอส แอล มีความสามารถจัดงานขนาดใหญ่ระดับประเทศได้อยู่แล้ว โดยเนื้องานที่จะรุกมากขึ้น คือ อีเวนต์ ด้านวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ ในส่วนของธุรกิจทีวี วางนโยบายหลักคือ งานของเราต้องนำเสนอแนวความคิดที่แปลก และแตกต่าง แต่มีสาระ ความรู้และบันเทิง"
อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจที่มีรายได้จากการโฆษณาในปีนี้คงจะขยายตัวยาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ และส่วนหนึ่งมาจากเวลาโฆษณาที่ได้อย่างจำกัดในแต่ละรายการ ทำให้ไม่สามารถเติบโตไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การผลิตรายการต้องจ่ายทุนออกไปก่อน โฆษณาจะเข้ามาหรือไม่ขึ้นอยู่ที่เรตติ้ง ขณะที่ธุรกิจอีเวนต์ เป็นเรื่องของการประมูล เราจะเสนอราคาที่บริษัทมีกำไร จึงเป็นรายได้ที่ดีกว่า
ผลิตรายการเพิ่มเตรียมรับทีวีปรับผังใหม่
นางจำนรรค์ กล่าวว่า ในส่วนของการผลิตรายการโทรทัศน์ ได้มอบหมายให้บริษัทผู้ผลิตเตรียม ผลิตรายการเพิ่มเติม ซึ่งในปี 2548 เจ เอส แอล และบริษัทในเครือ ได้ผลิตรายการใหม่ 3 รายการ ได้แก่ เดอะแฟมิลี่โชว์ ผลิตโดยบริษัท ไอดีวัน ออกอากาศ จันทร์-ศุกร์ 19.00 น. ช่อง 5, รายการ กล้าดี ผลิตโดย บริษัท เจ เอส แอล ออกอากาศวันอาทิตย์ 11.00 น. ช่อง 5 และ รายการขบวนการขยับปอด ผลิตโดย ไทเกอร์แทคทีม ออกอากาศ วันอาทิตย์ 17.00 น. ช่อง 5
โดยนายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด บริษัทในเครือของ เจ เอส แอล เจ้าของรายการ คนค้นฅน และ กบนอกกะลา กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการผลิตรายการเพิ่มเติม ซึ่งมีอยู่ 2 รายการ คือ รายการประเภทท่องเที่ยว แต่จะมีการนำเสนอไม่เหมือนรายการท่องเที่ยวที่มีอยู่ปัจจุบัน โดยของเราจะออกแนวเรียลิตี้ ซึ่งเนื้อหาที่นำเสนอเพื่อต้องการขยายฐานกลุ่มผู้ชมของบริษัท ทีวีบูรพา และอีกรายการหนึ่ง คือ เกมโชว์ ก็เป็นแนวเรียลิตี้อีกเช่นกัน จุดต่างจะอยู่ที่วิธีการนำเสนอ
เล็งเปิดแมกกาซีนแนวใหม่
สำหรับการขยายงานในธุรกิจอื่นๆ ของ เจ เอส แอล ปีนี้กำลังศึกษาที่จะเปิดหนังสือแมกกาซีน หรือนิตสารที่เน้นเนื้อหาสาระ ไม่ใช่รูปภาพ แต่อ่านแล้วต้องไม่น่าเบื่อ โดยให้สำนักพิมพ์บูรพา เป็นผู้ดำเนินการ โดยสำนักพิมพ์บูรพามีโครงการสร้างนักเขียน โดยจะให้เป็นทุนสนับสนุน และรางวัล นอกจากนั้น สำหรับหนังสือที่สำนักพิมพ์บูรพาได้จัดพิมพ์ โดยบางเล่มนำเนื้อหามาจากรายการที่ผลิต เช่น คนค้นฅน ปีนี้ตั้งนโยบายทำการตลาดด้วยการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพราะจากที่ทดสอบตลาดพบว่า การทำโฆษณามีผลต่อยอดขายของหนังสือให้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|