|
พบแบงก์ต้องจัดชั้นหนี้เพิ่ม
ผู้จัดการรายวัน(14 มกราคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
ธปท. เผยแบงก์พาณิชย์บางแห่งต้องตั้งสำรองเพิ่มเติมตามเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติ แม้ไตรมาสสุดท้ายของปีฐานะทั้งกลุ่มแบงก์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี กดดันดัชนีตลาดหุ้นทรุด จากแรงเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะธนาคารทหารไทย ที่ราคาร่วงกว่า 2% หลังเจอข่าวต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีกกว่า 3 พันล้านบาท
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ฐานะโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ที่ผ่านมายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) รวมของภาคธนาคารพาณิชย์ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงไตรมาสที่ 3 มากนัก
ทั้งนี้ คุณภาพของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งแตกต่างกัน โดยในส่วนที่ ธปท.เข้าไปตรวจสอบคุณภาพสินทรัพย์และสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งตามเกณฑ์ใหม่ ที่ตรวจคุณภาพสินทรัพย์และกระแสเงินสด พบว่า มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่คุณภาพสินเชื่อของธนาคารในไตรมาสที่ 4 แย่ลงกว่าไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ซึ่ง ธปท.ได้สั่งการให้ธนาคารนั้นๆ ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติม เช่นเดียวกับกรณีธนาคารกรุงไทยที่ได้ สั่งให้กันสำรองเพิ่มในไตรมาสที่ 3 แต่การสั่งให้กันสำรองเพิ่มของ ธปท.ไม่กระทบภาพรวมต่อฐานะของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ
"บางธนาคารที่ต้องกันสำรองเพิ่ม ธปท.ได้สั่งไปแล้ว และยังมีบางแห่งที่เพิ่มกันสำรองด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุน แต่บางแห่งอาจจะมียอดการกันสำรองที่ลดลงก็ได้ เพราะหนี้ที่เคยเป็นเอ็นพีแอลกลับมาเป็นหนี้ที่ดี ดังนั้น การกันสำรองจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคุณภาพหนี้ และความสามารถในการทำกำไรเป็นอย่างไร ซึ่งการดูงบดุลที่จะ ประกาศออกมาต้องดูเรื่องเหล่านี้ด้วย"
จากการเปิดเผยของ ธปท. ที่ระบุว่าธนาคารพาณิชย์บางแห่งจะต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมนั้น ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาในช่วงการซื้อขายภาคบ่ายวานนี้ (13 ม.ค.) กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า แม้ว่าในช่วงเช้าดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ระดับ 693.43 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 1.20 จุด หรือคิดเป็น 0.17% ขณะที่จุดสูงสุดของวัน อยู่ที่ระดับ 699.73 จุด และจุดต่ำสุดที่ระดับ 691.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,891.23 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,099.72 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 711.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,388.40 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมปิดที่ 247.56 จุด ลดลง 1.29 จุด หรือ 0.52% โดยหุ้นธนาคารทหารไทย หรือ TMB มีการปรับตัวลดลงมากที่สุดโดยปิดที่ 4.16 บาท ลดลง 0.12 บาท หรือ 2.80% ตามด้วยไทยธนาคาร หรือ BT ปิดที่ 5.75 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 1.71% และธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ปิดที่ 9.75 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ 0.51%
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนวานนี้ดัชนีฯมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยระหว่างวันดัชนีพยายามที่จะทดสอบแนวต้านที่ระดับ 700 จุด แต่ยังไม่สามารถผ่านได้ ทำให้ดัชนีฯอยู่ในช่วงของการพักฐานเพื่อรอปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
"ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนมีการหันมาเล่นเก็งกำไร ในหุ้นกลุ่มเล็กและกลาง แทนหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้รับความสนใจในช่วงท้ายปี 47 ดัชนีฯจึงยังไม่สามารถ ทดสอบที่ระดับ 700 จุดได้"
สำหรับประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตว่าดัชนีตลาดหุ้นจะสามารถผ่านและยืนเหนือระดับ 700 จุดหรือไม่นั้น จะต้องรอดูแรงซื้อลงทุนของนักลงทุนที่จะเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ และยังคงรอดูความชัดเจนของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2547 ที่จะทยอยประกาศในช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
ส่วนแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ (14 ม.ค.) คาดว่า ดัชนีฯ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 690-700 จุด ส่วนหนึ่งเป็นช่วงใกล้วันหยุดที่น่าจะทำให้มีการพักฐานต่อ ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติม ถึงสาเหตุที่มีแรงเทขายหุ้นออกมาจนทำให้ราคาปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าว่า เกิดจากมีกระแสข่าวว่าทางการได้สั่งให้ธนาคารทหารไทยตั้งสำรองหนี้ สงสัยจะสูญเพิ่มอีกกว่า 3 พันล้านบาท จึงส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับลดลงกว่า 2%
ส่วนความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนวานนี้ (13 ม.ค.) อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก เมื่อวันที่ 13 มกราคม (วานนี้) อยู่ที่ระดับ 38.81 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 0.41% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และแข็งค่าขึ้น 0.82% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
หากเทียบกับค่าเงินยูโรสหภาพยุโรป ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง 0.68% เมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้ และแข็งค่าขึ้น 0.53% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จะพบว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 0.53% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนในวันก่อน และอ่อนค่าลง 0.56% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนในเดือนก่อนหน้า
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|