|
BNTฟุ้งปี48รายได้1.4พันล้าน ลั่นล้างขาดทุน-ใช้หนี้กรุงไทย
ผู้จัดการรายวัน(13 มกราคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"อิทธิวัฒน์" หลังเปลี่ยน ชื่อเป็น "ปิติพัฒน์" ประกาศล้างขาดทุนสะสม BNT กว่า 500 ล้านบาท-โละซีดีค้างสต๊อก 1.8 พันล้านแผ่น พร้อมขาย 3 โรงงานผลิตซีดีใช้หนี้ ธ.กรุงไทย 320 ล้าน ตั้งเป้าจากนี้โตปีละ 20% คาดรายได้ปีนี้ 1,400 ล้านบาท หลังรุก 3 ธุรกิจใหม่ และต่อยอดธุรกิจภาพยนตร์ มองตลาดหุ้นไทย คาดดัชนีน่าจะไปได้ 750 จุด
นายปิติพัฒน์ เพียรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BNT เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ปรับโครงสร้างองค์กรในปี 2547 บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2548 จำนวน 1,400 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุน 3 ธุรกิจใหม่ คือ 1. วิทยุ ใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีคลื่นวิทยุปีนี้อย่างน้อยจำนวน 5 คลื่น ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมี 4 คลื่น และอีก 1 คลื่นนั้นอยู่ระหว่างขั้นตอนการเซ็นสัญญา 2. โทรทัศน์และเคเบิลทีวี ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท 3. ธุรกิจเพลง ใช้เงินลงทุนจำนวน 20 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินงาน ก.พ.2548
เข้าลงทุนในธุรกิจภาพยนตร์จำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวมาจากเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจำนวน 372.38 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินธุรกิจดังกล่าวบริษัทจะดำเนินการร่วมกับพันธมิตร
รวมทั้งบริษัทจะมีการล้างสต๊อกภาพยนตร์ที่ค้างอยู่จำนวน 1,800 ล้านแผ่น ให้หมดภายในปีนี้ จากปี 2547 ที่บริษัทได้มีการล้างสต๊อกไปแล้วจำนวน 2.6 ล้านแผ่น และบริษัทจะมีการขายโรงงานผลิตซีดีที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด 3 โรงงาน คิดเป็นมูลค่าตามบัญชีประมาณ 400 ล้านบาท คือ พระราม 3 บางนา และจังหวัดระยอง เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำนวน 320 ล้านบาท
"ในส่วนเคเบิลทีวีนั้นบริษัททำในลักษณะเคเบิลราคาถูกเพื่อช่วยยอดขายของ UBC และบริษัทจะนำภาพยนตร์ที่บริษัทมีนำมาฉาย โดยการที่บริษัทได้มีการขายโรงงานผลิตซีดีทั้งหมดนั้นบริษัทจะไม่เน้นธุรกิจทางด้านนี้มากนัก โดยบริษัทจะหันไปจ้างโรงงานอื่นผลิตแทน เพราะมีต้นทุนถูกกว่าผลิตเอง รวมถึงบริษัทจะร่วมมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ในการนำภาพยนตร์ไปฉายในอินเทอร์เน็ตเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง"
นอกจากนี้ มีแผนที่จะล้างขาดทุนสะสมที่มีกว่า 500 ล้านบาทภายในปีนี้ โดยใช้เงินจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2547 จำนวนมาก ซึ่งผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2547 บริษัทมีรายได้เพียง 100 กว่าล้านบาท และมีผลกำไรขาดทุน 195.60 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทมีการล้างขาดทุนสะสมหมดแล้วและบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานพอสมควรบริษัทก็อาจจะมีเงินเหลือพอที่จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมทั้งบริษัทตั้งเป้ารายได้ เพิ่มขึ้นปีละ 20%
นายปิติพัฒน์กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยว่า คาดว่าอย่างน้อยดัชนีฯจะสามารถไปถึง 750 จุดได้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มหลักๆ เช่น พลังงาน วัสดุก่อสร้าง แบงก์ สื่อสาร ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่ดัชนีมีการปรับขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นเพราะเม็ดเงินจากต่างประเทศทั้งสิ้น และที่ดัชนีฯได้มีการแกว่งตัวนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติ มีการเทขายทำกำไรออกมาเท่านั้น ประกอบกับช่วงนี้อยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|