ฉากการปรับโครงสร้างใหม่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เริ่มเป็นจริงแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่
28 พฤศจิกายน 2534 ..!
วันนี้ บอร์ด ปตท.ได้อนุมัติการจัดสรรตำแหน่งระดับฝ่ายตามที่ เลื่อน กฤษณกรี
ผู้ว่า ปตท.เสนอขึ้นตามโครงสร้างการบริหารใหม่
จากเดิมที่แยกเป็น 7 ด้าน คือ ด้านจัดหาและกลั่นน้ำมัน ด้านปฏิบัติการก๊าซธรรมชาติ
ด้านบัญชี-การเงิน ด้านกิจกรรมพิเศษ ด้านวิชาการ-วางแผน ด้านการตลาดและด้านบริหาร
โดยมีรองผู้ว่าเป็นคนดูแลแต่ละด้าน ซึ่งเป็นการบริหารตามลักษณะงานนั้นได้เปลี่ยนมาเป็นการบริหารตามประเภทของธุรกิจ
นั่นก็คือ แบ่งเป็น 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจบริการกลาง
ซึ่งได้จัดสรรระดับรองผู้ว่าตามโครงสร้างเดิมมาเป็นผู้บริหารของแต่ละธุรกิจ
เรียกว่า ผู้จัดการใหญ่ มีฐานะเทียบเท่ารองผู้ว่าที่ประจำ ปตท.สำนักงานใหญ่
สำหรับธุรกิจที่ ปตท.ถือว่าจะต้องแข่งขันกันอย่างหนัก ก็คือ ธุรกิจน้ำมัน
ซึ่งได้รวมงานด้านจัดหา-กลั่นน้ำมันและการตลาดเข้ามาอยู่ด้วยกัน
ธุรกิจน้ำมันของ ปตท.จึงกลายเป็นหัวใจของโครงสร้างใหม่ที่ทุกคนต่างก็จดจ่อว่าใครจะขึ้นมาดูแล
ในภาวะตลาดที่นับจะถึงพริกถึงขิงขึ้นทุกขณะ จากเดิมที่สมศักดิ์ ประสงค์ผลเป็นรองผู้ว่าด้านการตลาด
แล้วเมื่อเปิดโผตัวจริงว่า พละ สุขเวช จากรองผู้ว่าด้านจัดหา มาเป็นผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน
หลายคนอาจจะแปลกใจ เพราะคิดกันไว้ว่าสมศักดิ์ซึ่งคุมด้านการตลาดน่าจะดูแลงานด้านนี้ต่อเนื่องไป
คำถามว่าทำไมต้องเป็นพละ..?
ว่ากันว่าเป็นเพราะปัญหาคอขวด..!
แม้ว่าสมศักดิ์จะเป็นผู้ช่วยและเรื่อยมาจนเป็นรองผู้ว่าด้านการตลาด ซึ่งทำให้คาดเดากันว่าสมศักดิ์น่าจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่ของธุรกิจน้ำมัน
แต่ก็ดูเหมือนว่าสมศักดิ์เองจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าคนเดิมอาจจะไม่ได้คุมงานเดิม
และได้เตรียมใจไว้พร้อมที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้เช่นกัน ดุจหนึ่งจะเดาใจเลื่อนซึ่งจะเป็นคนพิจารณาและเสนอชื่อเข้าบอร์ดมาล่วงหน้าแล้ว..!
ขณะที่สันนิษฐานได้ว่า พละก็คงรู้ตัวก่อนเช่นกันว่าตนจะต้องมารับผิดชอบธุรกิจน้ำมันก่อนเสนอเข้าบอร์ด
ขณะที่รองผู้ว่าคนอื่น ส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ว่าตนถูกจัดสรรไปอยู่ตำแหน่งไหน
ยกเว้นสมควร วัฒกีกุล รองผู้ว่าด้านบริหาร-บุคคล และ เจียม อุยยามะพันธุ์
รองผู้ว่าด้านการเงินที่ยังดูแลสายงานเดิมประจำ ปตท.สำนักงานใหญ่และให้ประทิน
พัฒนาภรณ์เป็นรองผู้ว่าด้านนโยบายและแผน
เหตุผลสำคัญคือพละมีความคล่องตัวด้านซัพพลายหรืองานจัดหา-กลั่นน้ำมัน ประกอบกับพื้นความรู้ที่พละจบวิศวะมา
ทำให้เลื่อนมองว่าจะเข้าใจประเด็นปัญหาและพัฒนาคุณภาพน้ำมันได้ละเอียดกว่า
เรียกว่าพอพูดปุ๊บก็เห็นภาพทันทีว่าเป็นอย่างไร
พละจบวิศวะสาขาไฟฟ้าจากจุฬาฯ จบ CERT.IN SYSTEM ANALYSIS U.S. ARMY OF ENGINEERS
และวิศวะอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตทจากสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์เกี่ยวกับการวางแผน
ตั้งแต่ตำแหน่ง ผอ.ฝ่ายนโยบายและแผน จนเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้ว่าด้านวิชาการและวางแผน
เคยเป็นรองผู้ว่าด้านก๊าซธรรมชาติ ด้านจัดหา-กลั่นน้ำมัน ด้านวิชาการฯ ซึ่งตอนหลังได้โยกมาอยู่ด้านจัดหาฯ
อีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2534
ขณะที่สมศักดิ์จบรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเป็นผู้ช่วยผู้ว่าด้านบริหาร
ผู้ช่วยและรองผู้ว่าด้านกิจกรรมพิเศษ ผู้ช่วยด้านการตลาดก่อนจะมาเป็นรองผู้ว่า
จากพื้นฐานและประสบการณ์ที่ต่างกัน ทำให้พละเป็นต่อสมศักดิ์ในด้านภูมิความรู้..!
สมศักดิ์จึงได้รับการจัดสรรไปเป็นผู้จัดการใหญ่ธุรกิจบริการกลาง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับงานบริการทั้งงานฝึกอบรมเทคโนโลยี-สื่อสาร
ตลอดจนอำนวยความสะดวกทุกด้านแก่ธุรกิจทั้ง 3 ของ ปตท.งานที่สมศักดิ์เคยคลุกคลีมาไม่น้อย
สมศักดิ์จึงกลับสู่งานเดิมที่ตนเองถนัดและทำได้ดี
อีกเหตุผลที่หนุนเนื่องพละก็คือด้วยสไตล์นุ่ม พูดน้อยตามแบบฉบับนักวิชาการส่วนใหญ่
ถึงคราวจะพูดก็จะไม่พูดให้กระทบใคร ทำให้ปรับตัวเข้ากับผู้ใหญ่ในกระทรวงทบวงกรมได้มาก
ขณะที่สมศักดิ์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ชนิดตรงไปตรงมา ซึ่งบางครั้งก็กระเทือนผู้ได้ยิน
แม้ว่าจะไม่มีเจตนาร้ายอะไรแอบแฝงก็ตาม ทำให้ดูเป็นคนใจร้อน และอาจจะไม่สบอารมณ์ผู้ใหญ่ในสังคมแบบไทยๆ
ความต่างตรงนี้ นับเป็นความจำเป็นอีกด้านหนึ่งที่ ปตท.จะต้องปรับตัวเข้าหาและใกล้ชิดกับผู้บริหารที่เหนือกว่าให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อว่าเมื่อผลักดันเรื่องอะไรก็จะได้ง่ายเข้า
พละนั้นเป็นที่ยอมรับของบอร์ดและผู้ใหญ่คนอื่นอยู่มาก จะเห็นได้ว่าในช่วงต่อที่ทองฉัตร
หงศ์ลดารมภ์หมดวาระจากผู้ว่า ปตท.เมื่อปี 2530 นั้น พละเป็นตัวเต็งที่มาแรงขับเคี่ยวกับเลื่อนซึ่งอาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์
แต่ก็ไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของบอร์ดสูงพอ นายกเปรมในตอนนั้นจึงแต่งตั้งอาณัติ
อาภาภิรมมาเป็นแทนก่อนที่จะมาถึงยุคของเลื่อนในขณะนี้
บอร์ดหลายคนเห็นตรงกันว่าพละเป็นคนที่โดดเด่นในบรรดารองผู้ว่าทั้งหมด ยิ่งเป็นคนรับผิดชอบการสร้างโรงโอเลฟินส์แห่งที่
2 ได้ถูกกว่าราคากลางร่วม 3,000 ล้านบาท ก็ยิ่งทำให้พละมีเครดิตมากขึ้น
แต่ที่ผ่านมา พละจะคุมงานที่มีผู้ร่วมงานไม่กี่สิบคน การให้พละมาคุมธุรกิจน้ำมันซึ่งมีพนักงาน
2,000 คน ครึ่งหนึ่งของคน ปตท.ทั้งหมดนั้น จะช่วยทำให้พละเคยชินกับการบริหารคนหมู่มาก
ความหมายโดยนัยก็คือ เป็นการเตรียมผู้ว่าคนใหม่สำหรับ ปตท.หลังเลื่อนเกษียณในกลางปี
2538 เพื่อว่าลูกหม้อจะได้ก้าวขึ้นไปอย่างสมศักดิ์ศรี ดีกว่าที่จะเอาคนแปลกหน้าที่ไหนมาบริหารเฉกเช่นอดีต
แต่นั่นแหละ..! วันเวลาจะพิสูจน์ว่าพละจะผ่านสนามทดสอบฝีมือครั้งนี้ได้ดีแค่ไหน..?!?