เปิดเสรีตลาดน้ำมันหนุน ปตท.เป็นแชมป์..?

โดย วิลาวัณย์ วิวัฒนากันตัง
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การเปลี่ยนแปรของตลาดน้ำมัน ทั้งจากมิติแห่งปัจจัยภายในและตลาดโลกในช่วงปลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้พลิกโฉมใหม่ของพัฒนาการน้ำมันของไทย ให้ ปตท.ขึ้นมาเป็นแชมป์จากที่ครองที่โหล่มาตลอด เล่นเอาบรรดายักษ์ใหญ่หวั่นใจไปตามๆ กัน ทั้งที่เชื่อกันว่าเมื่อใช้ระบบราคาลอยตัวแล้ว ปตท.มีหวังตายแน่..?

ชายผู้นี้เป็นทั้งผู้ร้ายและพระเอกในสายตาของคนวงการน้ำมันที่โดดเด่นที่สุด และเป็นตัวแทนบอกความเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันของบ้านเรา ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะในครึ่งหลังของทศวรรษที่เริ่มมีปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดน้ำมันให้ได้เห็นกัน และระเบิดความเปลี่ยนแปลงในช่วงท้ายทศวรรษอย่างดุเดือด จนแหล่งข่าวบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่กล่าวว่า "น่ากลัว"

ที่ว่าน่ากลัว คือ "มีฝีมือ ต้องยอมรับว่าถ้าพูดถึงนักการตลาดวงการน้ำมันในตอนนี้แล้วเขาเป็นคนที่เราประมาทไม่ได้"

เขาคนนี้ ก็คือ เลื่อน กฤษณกรี ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)

เพราะที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่วิพากษ์อย่างหวั่นๆ ในปีกลายว่า เผลอๆ ปีนี้ ปตท.มีสิทธิ์ขึ้นมาเป็นที่หนึ่งในตลาด ก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ภาวะการแข่งขันรุนแรงขึ้นกว่าเมื่อ 5-10 ปีก่อนหลายเท่า

"เมื่อเราเข้าสู่ระบบราคาน้ำมันลอยตัวก่อนที่จะเข้าไปสู่ระบบธุรกิจน้ำมันเสรีเต็มที่ในอนาคตนั้น ไม่มีใครคิดว่า ปตท.จะแข่งกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เจ้าถิ่นอย่างเชลล์ เอสโซ่ และคาลเท็กซ์ได้ ยังไม่รวมผู้ค้าหน้าใหม่ที่เข้าประชันในตลาดน้ำมันอย่างเข้มข้น" แหล่งข่าวระดับสูงจากผู้ค้าเจ้าเก่ากล่าว "ตรงนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดน้ำมันของไทยในรอบ 10 ปีนี้"

ขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่งจาก ปตท.เองถึงกับสะท้อนด้วยความแปลกใจว่าไม่คิดว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาดมากขนาดนี้ ตอนแรกก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อกัน เพราะตัวเลขส่วนแบ่งครองตลาดสูงถึง 26% มาตลอด เรียกว่าเหนื่อยคุ้มกับการทุ่มเทจากความพยายามในการสลัดคราบรัฐวิสาหกิจทิ้ง แล้วกระโจนเข้าสู่การทำงานที่เป็นเอกชนมากขึ้น

ระบบราคาน้ำมันลอยตัวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้า ปตท.เป็นกลไกที่ทำงานในฐานะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลไม่ได้..!

งานนี้คงต้องยกให้เป็นผลงานยุคนายกอานันท์ ปันยารชุน แม้ว่าจะมีแผนใช้นโยบายราคาน้ำมันลอยตัวมาตั้งแต่ปลายยุคนายกเปรม ติณสูลานนท์ เรื่อยมาจนถึงยุคนายกชาติชาย ชุณหะวัณก็ตาม เพราะกล้าใช้สถานการณ์ที่ปลอดจากแรงกดดันทางการเมือง ตัดสินใจใช้นโยบายใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2534 เมื่อใช้ระบบน้ำมันราคาลอยตัว ก็กลายเป็นจุดหักเหของตลาดน้ำมันทันที..!

จากที่รัฐบาลเคยเป็นผู้คุมราคาน้ำมันขายปลีกและแทบจะไม่มีการแข่งขันกัน ตลาดน้ำมันก็เริ่มเปิดฉากคึกคักขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยอาศัยแรงการันตีจากเลื่อนนี่เอง

เป็นที่รู้กันว่า ก่อนที่ไพจิตร เอื้อทวีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะใช้ราคาน้ำมันลอยตัวนั้นใช้เวลาตัสินใจอยู่นาน "ที่จริง ท่านก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะถ้าประกาศใช้แล้วราคาน้ำมันไม่ลด แต่ยิ่งแพงแล้วละก็ พังแน่..ประชาชนสวดยับ เครดิตรัฐบาลอานันท์ก็หมดเหมือนกัน" แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนจะใช้ราคาลอยตัว

"ทำไปเถอะ ถ้ามีปัญหา ผมรับผิดชอบเอง" เลื่อน ซึ่งรักษาการผู้ว่า ปตท.แทนอาณัติ อาภาภิรม ผู้ว่าในตอนนั้นที่ไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ย้ำกับไพจิตรว่า "ปตท.ทำได้"

พอประกาศใช้ตูม ราคาหน้าปั๊มก็ลดลง ที่จริงตลาดน้ำมันโลกช่วงนั้นเป็นใจด้วย เพราะราคาถูก "พอเป็นอย่างนี้ ทุกฝ่ายก็ค่อยหน้าบาน ที่ราคาลอยลงไม่ใช่ลอยขึ้น" แหล่งข่าวจาก ปตท.ย้อนอดีตอย่างภาคภูมิ

เท่ากับเป็นการปรับโครงสร้างระบบราคาน้ำมันใหม่ จากที่รัฐบาลเคยคุมค่าการตลาดอยู่ที่ 50 สตางค์ต่อลิตรนานถึง 5-6 ปี ก็ปล่อยฟรีให้ไปกำหนดและแข่งกันเอง ขณะที่ ปตท.ต้องทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน คือเป็นคู่ค้าที่ต้องแข่งกับบริษัทน้ำมันอื่นๆ และเป็นเครื่องมือรัฐในการคานเรื่องราคาด้วย

ที่จริง ระบบราคาน้ำมันลอยตัวและการให้เอกชนมีบทบาทในธุรกิจน้ำมันมากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (2530-2534) และก่อนที่จะใช้ราคาลอยตัวทั่วประเทศ รัฐบาลกพยายามผลักดันเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2533

โดยทางบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (บางจากฯ) จับมือกับสยามนกไม้ตั้งปั๊ม "นกไม้" พร้อมกับขึ้นโลโก้บางจากเปิดขายน้ำมันใน อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น นัยว่าเป็นการกระตุ้นให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ด้วยการขายน้ำมันในขอนแก่นเท่ากับราคาที่กรุงเทพฯ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งรับผิดชอบพลังงานใช้บางจากฯ เป็นเครื่องมือหาเสียงในท้องถิ่น ขณะที่บางจากฯ เองก็อยากทดลองตลาดด้วยเช่นกัน

ครั้งนั้น บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่โดยเฉพาะ ปตท.โดนด่าเสียงขรมว่าเอาเปรียบ และกีดขวางบางจากฯ รัฐวิสาหกิจที่บริหารด้วยรูปแบบบริษัทจำกัด เพราะกลัวว่าจะแย่งตลาด ปตท.แต่เลื่อนยืนยันความเห็นว่า "ระยะยาวแล้วไปไม่รอดแน่" ถ้าเล่นอาศัยความได้เปรียบของต้นทุนโรงกลั่นเป็นฐาน ขณะที่ยังไม่ต้องลงทุนเครื่องมืออุปกรณ์เกี่ยวกับปั๊ม

สุดท้าย ปั๊มนกไม้ก็เลิกกิจการไป "พอบางจากฯ ออกแบรนด์ของตัวเอง แล้วไปตัดราคา เราเป็นลูกค้าก็สู้ไม่ไหว" สมหญิง เสรีวงศ์ เจ้าของอดีตปั๊มนกไม้เล่าถึงบาดแผลที่ต้องพับโครงการปั๊มนกไม้ที่ขอนแก่น แล้วหันไปทำปั๊มหลอดและลงทุนในลาวแทน อันเป็นการยืนยันสิ่งที่เลื่อนวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ

"แม้ว่างานครั้งนั้นจะล้มเหลว เพราะบางจากฯ ไม่มีความพร้อม และทำจำกัดอยู่ในพื้นที่แคบๆ ก็ตาม แต่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน หลังจากที่เกิดการปรับตัวในหลายส่วน" แหล่งข่าวระดับสูงจาก ปตท.และบางจากฯ กล่าวอย่างสอดคล้องกัน

นั่นก็คือ ช่วงปี 2530-2532 เป็นช่วงที่กระแสการลงทุนต่างประเทศหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ขณะที่ทิศทางการแข่งขันเสรีเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลก ปริมาณการส่งออกของไทยสูงขึ้นเป็นเท่าทวีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่รัฐบาลยังคงคุมราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนพื้นฐานของการผลิตอยู่ ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ลดราคาน้ำมันเป็นระยะๆ

ที่สำคัญ คือ ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคนี้อย่างเด่นชัด บรรดาบริษทน้ำมันข้ามชาติต่างรุกเข้ามาลงทุนเรื่องน้ำมันไทยอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นรายใหม่อย่างบีพี โมบิล คิว 8 นอกเหนือไปจากเจ้าเดิมที่มีอยู่แค่ ปตท.เชลล์ เอสโซ่ และคาลเท็กซ์ เพราะต่างเล็งเห็นว่าไทยเป็นทำเลทองของการลงทุน โดยเฉพาะมีแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันขยายตัวถึงกว่า 10% บางผลิตภัณฑ์เช่นดีเซลสูงถึง 18% ไม่รวมถึงอินโดจีนที่ยังเป็นตลาดที่มีอนาคตอีกไกล

ขณะเดียวกัน ภาวะน้ำมันตลาดโลกที่เคยสูงถึง 40 เหรียญต่อบาร์เรลเริ่มลดลงค่อนข้างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 20 เหรียญกว่าต่อบาร์เรล เนื่องจากกลุ่มโอเปกกลายเป็นเสือกระดาษ ที่ไม่อาจตกลงและคุมกันเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ รัฐบาลเริ่มเน้นแปรรูปรัฐวิสาหกิจและให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจะเห็นได้ชัดจากกรณีที่ ปตท.แยกโรงกลั่นบางจากออกไปจัดตั้งและบริหารในรูปของบริษัทจำกัด เพื่อให้คล่องตัวและปรับตัวต่อตลาดน้ำมันโลกได้อย่างทันการณ์

แต่ด้วยอุบัติเหตุแห่งความขัดแย้งทั้งในเรื่องหลักการและบุคคลระหว่าง ปตท.กับบางจากฯ "ทำให้องค์กรของรัฐทั้ง 2 ฝ่ายนี้ประสานงานกันไม่ได้ดีนัก มิหนำซ้ำมักจะประสานงากันอยู่เนืองๆ ขณะที่ ปตท.เห็นว่าบางจากฯ ควรกลั่นอย่างเดียว แต่บางจากฯ เห็นว่าตนมีสิทธิอันชอบธรรมที่ลงสู่ตลาดค้าปลีก" แหล่งข่าวจากบางจากฯ ย้อนอดีตที่เป็นจุดปะทะของตลาดน้ำมันไทย

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ชาว ปตท.โดยทั่วไปหวั่นวิตกกันนักหนา มีเพียงเลื่อนเท่านั้นที่ย้ำความเห็นอย่างมั่นใจว่า "บางจากฯ จะทำปั๊ม ก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจ เพราะ ปตท.มีเรื่องใหญ่ที่ต้องทำอีกมากที่สำคัญก็คือการปรับโครงสร้างภายใน

เป็นเพราะเลื่อนมีวิญญาณความเป็นนักการตลาด เขาขับเคี่ยวอยู่กับธุรกิจน้ำมันมากว่า 30 ปี..!

"..การที่เลื่อนเสนออะไรในช่วงแรก คนมักจะไม่ค่อยจะเห็นด้วย เนื่องจากต่างพื้นฐานความรู้ ขณะที่เลื่อนมองเห็นอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะต่อไป จนเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว ผู้คนจึงถึงบางอ้อ และเห็นด้วยว่าสิ่งที่เขาคิดนั้น มิใช่เพราะเดาสุ่มหรือคาดคะเน แต่อาศัยความช่ำชองที่มีชั่วโมงบินสูง จนมองเห็นตลาดน้ำมันได้ทะลุปรุโปร่งตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น..!"

หลายคนในวงการสะท้อนความคิดของเลื่อนที่ว่า เป็นตัวละครที่ชี้กระแสของตลาดน้ำมันได้อย่างดี ขณะที่ยักษ์น้ำมันรายใหม่เริ่มเข้ามาเบียดตลาดน้ำมันในประเทศ จนส่อแววการแข่งขันขึ้นกว่าเดิมทั้งเรื่องคุณภาพ ราคาและการให้บริการ ทำให้เจ้าเก่ายิ่งต้องโหมรุกตลาดเพิ่มขึ้น..!

เริ่มตั้งแต่ที่เชลล์พลาดท่าต้องถอน "ฟอร์มูล่าเชลล์ สูตรสปาร์ค เอดเดอร์" เบนซินพิเศษน้ำมันที่ตนครองแชมป์มาตลอดออกไป หลังจากที่แถลงข่าวข้ามโลกได้ประมาณ 4 เดือนเศษ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2531 ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งของเชลล์บริษัทแม่ที่ถอนกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีรถประมาณ 0.002% ของ 20 กว่าล้านคันในโลกที่มีข้อสงสัยว่าทำให้เกิดวาล์วค้าง

แล้ววันรุ่งขึ้นฟ้าก็ผ่าลงมากลางตลาดน้ำมันเล่นเอาสะท้านกันไปทั่ววงการ..! เมื่อเลื่อน ซึ่งเป็นรองผู้ว่าด้านตลาดของ ปตท.ในเวลานั้น ออก "พีทีที-ไฮ-ออคเทน ผสมเอ็นทีบีอี" แหวกลงไปในตลาดน้ำมัน

"นี่ละ..ที่บอกว่าร้าย เพราะเป็นการแสดงศักยภาพของ ปตท.ที่คนมองว่าจะไปสู้บริษัทน้ำมันต่างชาติได้ยังไง ขณะที่เลื่อน รู้จักช่วงชิงโอกาสในการปูฐานการเป็นผู้นำด้านคุณภาพในอนาคตที่เชลล์พยายามทำอยู่" แหล่งข่าวจากยักษ์น้ำมันรายหนึ่งกล่าว

เพราะการเอาเอ็มทีบีเอมาผสมนั้น เป็นการเพิ่มค่าออคเทนแทนสารตะกั่ว ซึ่งตอนนั้นคนยังไม่ค่อยรู้กันว่าเป็นมลพิษสำคัญที่สุดตัวหนึ่ง ทำให้ช่วยลดสารตะกั่วไปได้ราว 7-8% ทำให้คาร์บอนมอนนอกไซค์ในอากาศลดลง และเพิ่มค่าออคเทนจาก 95 เป็น 97 อันเป็นความหมายที่ชี้ถึงการให้ความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ตอนนั้นประชาชนยังไม่ตื่นตัวกันเท่าใดนัก

ขณะที่แหล่งข่าวจาก ปตท.เปิดเผยว่า "ที่จริงเราต้องการชูเรื่องลดสารตะกั่ว แต่เพราะกลัวไม่ได้ผลทางการค้า จึงชูประเด็นเรื่องออคเทน"

ด้วยความที่เลื่อนคลุกอยู่กับตลาดน้ำมันจากเอสโซ่มาก่อนประมาณ 20 ปี เมื่อมาอยู่ ปตท.ก็ทำให้รู้เขารู้เรา อันเป็นจุดได้เปรียบใช้ในการตัดสินใจบุกตลาดแต่ละครั้ง

ปรากฏการณ์ครั้งนี้เริ่มบอกความเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันไทย ทำให้เชลล์ซึ่งเป็นแชมป์ตลาดน้ำมันเบนซินพิเศษมาตลอดนั้น เริ่มสูญเสียส่วนครองตลาดจาก 35.6% ในปี 2530 เหลือเพียง 34.15% ในปี 2531 แม้ว่าจะแก้เกมด้วยการออก "SAP 9404" มาแทนในช่วงเดือนถัดมาก็ตาม

ขณะที่ ปตท.เริ่มได้ตลาดเบนซินพิเศษเพิ่มขึ้นจาก 19.4% ในปี 2530 มาเป็น 20.8% ในปี 2531

"นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยเวลา แม้แต่จากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเองเช่นกัน คงจำกันได้ตอนนั้น เลื่อนถูกโจมตีทุกวัน กว่าสื่อมวลชนจะเข้าใจก็ต้องทำความเข้าใจกันอยู่นาน" แหล่งข่าวที่รู้เรื่อง ปตท.และบางจากฯ ดีสะท้อนภาพที่เกิดขึ้นในอดีต

"เพราะตอนนั้น ปตท.กับบางจากฯ ขัดแย้งกันสูง เป็นช่วงที่ ปตท.ถูกโจมตีหนักว่าเป็นรัฐวิสาหกิจเลยอุ้ยอ้าย เช้าชามเย็นชาม ขณะที่บางจากฯ กลับเป็นภาพตัวอย่างของบริษัทน้ำมันที่ดีอันสอดคล้องกับแผน 6 ที่พยายามให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนธุรกิจน้ำมันมากขึ้น และเป็นดุจเนื้อหอมที่ราชการชื่นชมอย่างถ้วนหน้า"

จากนั้น ปตท.ก็ออก "โลว์ สโมค ไฮ-สปีด ทูที" ในปลายปี 2533 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยลดควันขาวในรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะที่เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ขณะที่รัฐบาลยังไม่อาจกำหนดให้ใช้เฉพาะรถ 4 จังหวะที่เผาไหม้ได้สมบูรณ์

เลื่อนเดินหน้าลูกเดียว "เพราะความที่อยู่บริษัทน้ำมันต่างชาตินับ 20 ปี เมื่อมาอยู่ ปตท.คิดค้นอะไรได้ก็คงอยากจะทำ เพราะถ้ามีการเริ่มต้น คู่แข่งรายอื่นก็ต้องเคลื่อนไหวด้านตลาดในเชิงคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วย" แหล่งข่าวจากบริษัทน้ำมันเจ้าเก่าเล่าถึงความไฟแรงของเลื่อน

ขณะที่เลื่อนเคยพูดว่า "น้ำมันที่เราใช้อยู่ในเมืองไทย เมืองอื่นเขาไม่ใช้กันหรอก" เขาหมายถึง น้ำมันเบนซินที่เต็มไปด้วยสารตะกั่วและดีเซลที่มากไปด้วยกำมะถัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อมลพิษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตอย่างร้ายแรงทั้งสิ้น

อันที่จริง เลื่อนย้ำมาหลายปีว่า ปตท.เป็นผู้นำด้านคุณภาพและบริการ แต่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นจริง ด้วยภาพของความเป็นรัฐวิสาหกิจที่มักจะถูกมองว่าด้อยประสิทธิภาพนั่นเอง

แต่เลื่อนก็คิดแบบนักการตลาดว่า ไม่มีใครได้หรือเสีย 100% บนความเสียเปรียบก็มีความได้เปรียบ..!

บริษัทน้ำมันต่างชาติอาจจะดูอินเตอร์ น่าเชื่อถือตามค่านิยมที่มีมาแต่เดิม แต่ขบวนการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับบริษัทแม่มาก ขณะที่รัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท.ติดระเบียบหยุมหยิม แต่มีข้อยกเว้นให้ผู้บริหารตัดสินใจได้เองอย่างรวดเร็ว

จะว่าเชลล์พยายามปลุกกระแส และเปิดให้พนักงานทดลองใช้น้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว (ยูแอลจี) ตามแนวโน้มนโยบายของรัฐ ที่เน้นการลดสารตะกั่วในเบนซินเพื่อรักษาและแก้ไขสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นนั้น เชลล์จะเป็นผู้นำน้ำมันมีคุณภาพโดยเฉพาะยูแอลจีเป็นรายแรก

เลื่อนไม่สนใจว่าเชลล์จะเริ่มก่อนไปกี่เดือนแต่ ปตท.ชิงขายก่อนและรับภาระราคายูแอลจีที่แพงกว่าเบนซินพิเศษปกติประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้ลดภาษีนำเข้ายูแอลจี ทำให้เกิดภาพพจน์ที่ดีและส่งผลให้ ปตท.เก็บคะแนนนำไปก่อน

นี่ละที่เลื่อน รักษาการผู้ว่า ปตท.ขณะนั้นย้ำกับบรรดาชาวปั๊ม ปตท.ที่ภูเก็ตซึ่งเป็นภูมิภาคแห่งแรกที่เปิดขายยูแอลจีว่า "เราเป็นคนขายยูแอลจีแห่งแรก นั่นหมายถึงเราทุกคนเป็นผู้นำในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน"

"เป็นการตีกลับเชลล์ที่มัวลองตลาดอยู่นาน แต่กำหนดเวลาขายที่แน่นอนไม่ได้สักที" แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งกล่าวถึงการยุทธ์ของค่ายเชลล์และ ปตท."จนคนในเชลล์และเอสโซ่ต้องคอยจับตาว่าเลื่อนจะมีลูกเล่นอะไรออกมาอีก"

แม้ ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดูจะเสียเปรียบ แต่เลื่อนยันว่า "ปตท.จะต้องแข่งกับยักษ์น้ำมันต่างชาติได้อย่างไม่น้อยหน้า" เพราะไม่มีอะไรที่นักการตลาดจะทำไม่ได้

ภาพของการช่วงชิงความเป็นหนึ่งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นแรงผลักจากระบบการค้าเสรีของตลาดโลกและทุนที่หลั่งไหลสู่ไทยมากขึ้น เมื่อมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามา นั่นหมายถึงเจ้าเก่าบางรายจะต้องเสียส่วนครองตลาดไปให้รายใหม่ในไม่ช้า

เมื่อเกิดการแข่งขัน ผู้บริโภคย่อมได้ประโยชน์..!

เมื่อเกิดวิกฤติอ่าวเปอร์เซียเมื่อสิงหาคม 2533 แม้ยังไม่ใช้ราคาลอยตัว แต่มีผู้ค้าน้ำมันมากรายขึ้น "แต่ละบริษัทก็ต้องตะเกียกตะกายหาน้ำมันมาขาย ตอนนั้นขืนใครตัดน้ำมัน ไม่นำเข้ามาขาย ก็ถูกแย่งตลาดแน่ ตอนนั้นเราจึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำมันขาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่จำกัด และ ปตท.ก็ได้กระจายแหล่งซื้อน้ำมันได้มากขึ้น"

"ปตท.เริ่มมีอิทธิพลในตลาด โดยมีกลไกตลาดเป็นตัวควบคุม เพราะถ้าน้ำมันขาด ปตท.ก็ดั๊มรายอื่นต้องนำเข้า ขณะที่ทุกรายก็ต้องพยายามขายให้ได้มากเข้าไว้ อยู่ที่ว่าใครจะช่วงชิงโอกาสได้มากกว่ากัน นี่เป็นผลเริ่มต้นที่มีการแข่งขัน" แหล่งข่าววิเคราะห์ถึงผลดีที่เกิดขึ้น

ขณะที่เลื่อนเห็นช่องว่างตลาดตรงนี้ชัดเจน ผนึกกับค่านิยมที่ว่า เมื่อก่อนคนจะไม่ค่อยเติมน้ำมัน ปตท.เพราะฉะนั้น "เราต้องพิสูจน์คุณภาพก่อน แต่ก่อนที่คนไม่ใช้เพราะของไทยไม่พยายามทำให้ดี ถ้าดีแล้ว เชื่อว่าคนต้องใช้ของไทยแน่"

"เขาได้ใช้เอาความคิดนี้แปรสภาพไปสู่การปฏิบัติเป็นฉากๆ เหมือนนักการตลาดที่ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ที่เป็นจริง มันเหมือนกับการสะสมภาพพจน์ดีๆ อย่างเงียบๆ โดยอาศัยความกล้าตัดสินใจที่จะทำให้ ปตท.ทัดเทียมคู่แข่งและเป็นเครื่องมือของรัฐพร้อมกันไป" แหล่งข่าวอธิบายถึงความพยายามที่เลื่อนจะผลักดันให้ ปตท.ทำงานแบบเอกชนได้มากขึ้นด้วย

แล้วก็มาถึงคราวที่ ปตท.ประกาศพร้อมเป็นกลไกในการใช้ระบบน้ำมันราคาลอยตัวเมื่อพฤษภาคม 2534 ปตท.ตีตื้นได้ภาพพจน์ที่ดีขึ้นอย่างมาก..!

จากจุดเปลี่ยนนี้ ทุกค่ายพร้อมที่จะใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อรักษาส่วนครองตลาดเดิมไว้ให้ได้ ซึ่งต่างก็ยอมรับว่าเป็นงานที่ยากขึ้น ยังมีผู้ค้าหน้าใหม่ที่เข้ามาอีกไม่น้อย เพราะเป็นบรรยากาศที่สนับสนุนให้แข่งกันเองเต็มที่ ไม่ถูกจำกัดค่าการตลาดอย่างเก่า คนก็สนใจลงทุนธุรกิจปั๊มน้ำมันยิ่งกว่าเดิม

ราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะเปลี่ยนไปตามราคาหน้าโรงกลั่นที่อิงราคาตลาดโลกทุกสัปดาห์ แทนที่จะรอรัฐบาลประกาศให้เปลี่ยนเมื่อต้องการให้ขึ้นหรือลงตามแรงกดดันทางการเมือง ทำให้ราคาน้ำมันเป็นไปโดยกลไกตลาด และปลอดจากการแทรกแซงอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากปัจจัยภายนอกที่หนุนให้มีการค้าเสรีและแข่งขันกันแล้ว นโยบายของรัฐบาลที่พยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจ อย่าง ปตท.ที่ใช้เวลานานถึง 4 ปีในยุคที่อาณัติ อาภาภิรมเป็นผู้ว่าอยู่ เพื่อจัดโครงสร้างเป็นหน่วยธุรกิจ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารธุรกิจแต่ละประเภท คือ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี และหน่วยบริการกลางนั้นก็เริ่มเป็นจริงในยุคของอานันท์ 1

โดยให้ลูกหม้อเก่าแก่อย่างเลื่อน ขึ้นมาเป็นผู้ว่าและอนุมัติให้ปรับอัตราเงินเดือนให้ทัดเทียมกับคู่แข่งได้เอง เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจแก่พนักงานและส่งเสริมให้อยู่ในฐานะที่จะแข่งได้คล่องตัวมากขึ้น ซึ่งแต่ละหน่วยธุรกิจจะมีอำนาจรับผิดชอบการบริหารในหน่วยนั้นๆ ได้เอง เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจน้ำมันนั้นจะเป็นงานที่หนักที่สุด เพราะแข่งขันรุนแรง

ทุกค่ายจึงเตรียมตัวและได้ปรับขบวนกันถ้วนหน้า..!

เมื่อรู้ว่าหลังใช้ราคาลอยตัวช่วงกลางปี 2534 ตลาดน้ำมันดุเดือดแน่ เลื่อนไม่รอช้าที่จะดึงประเสริฐ บุญสัมพันธ์ จากฝ่ายจัดหาน้ำมันขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้ว่าด้านการตลาด และเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมันด้านตลาด เมื่อปรับโครงสร้างเป็นหน่วยธุรกิจ รองจากพละ สุขเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ว่าที่ผู้ว่า ปตท.ในอนาคต

เลื่อนเชื่อว่า จากพื้นฐานด้านวิศวะและประสบการณ์การจัดหาน้ำมันที่ประเสริฐมีอยู่ ผนวกกับเป็นคนมีโลกทัศน์กว้าง และเมื่อได้รับการขับเคี่ยวอย่างใกล้ชิดจากเลื่อนแล้ว เขาจะเป็นแกนสำคัญคนหนึ่งของทีม ปตท.

โดยเฉพาะคนๆ เดียวมีความเข้าใจเรื่องจัดหาและตลาดน้ำมันพร้อมกัน ย่อมจะช่วยให้มองตลาดได้รอบด้าน และเห็นถึงแหล่งที่มาที่ไปของน้ำมันได้ดีว่าควรจะเป็นอย่างไร

ด้านเชลล์ซึ่งครบ 100 ปีเมื่อปีที่แล้ว ก็ได้แต่งตั้งให้ศิริทัศน์ มนูประเสริฐ ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ นับเป็นคนไทยคนที่สองถัดจาก ม.ร.ว.สฤษดิคุณ กิติยากรที่ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของเชลล์

ทั้งยังให้ธำรง ตยางคนนท์ ที่เคยดูแลด้านการตลาด ก็ให้รับผิดชอบด้านการจัดหาควบคู่กันไป ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้เชลล์คล่องตัวในการจัดหาผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อสนองตลาดน้ำมันได้ดีและแข่งขันได้ดีกว่า เพราะคิดว่า "ไม่มีใครรู้ใจคนไทยเท่าคนไทย"

ปีที่แล้วจึงเป็นเหมือนการอุ่นเครื่อง เพราะทุกค่ายกำลังปรับตัว แต่แค่การปรับตัวก็พลิกโฉมตลาดน้ำมันไทยไปไม่น้อย เจ้าเก่าที่เฉือนกันดุเดือดกลายเป็นเชลล์กับ ปตท.มิใช่ระหว่างเชลล์กับเอสโซ่อย่างแต่ก่อน..!

ปีก่อนทุกค่ายโหมโฆษณาอย่างเผ็ดมัน ลดแจกแถมกันถึงพริกถึงขิง เชลล์ซึ่งเน้นขายยูแอลจีและนิยามกลุ่มลูกค้าของตนว่า สินค้าดีต้องมีราคาแพง บางช่วงราคาน้ำมันจึงสูงกว่าปั๊มเจ้าอื่น ดังที่ศิริทัศน์กล่าวว่า

"เรื่องราคาจำเป็นในบางพื้นที่ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญ" เชลล์เน้นลูกค้าระดับเอบวกถึงบีบวก

ขณะที่ ปตท.ตอกย้ำว่า สินค้าดีไม่จำเป็นต้องแพง ดังนั้น ปตท.จะขายของดีราคาถูก ส่วนเอสโซ่นั้นมองว่าแม้ยอดขายจะลดลงบ้างก็ไม่เป็นไร เมื่อผลตอบแทนดี

เชลล์ยังเป็นแชมป์ด้วยสัดส่วน 25.8% ตามด้วย ปตท.25.1% และเอสโซ่เป็นที่ 3 ด้วยระดับ 24.9%

ส่วนคาลเท็กซ์เสียงเชิงไปตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ "เพราะผู้บริหารวางแผนผิดพลาดและมัวแต่เล่นการเมือง" แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งวิพากษ์สุขวิช รังสิตพล อดีตผู้จัดการใหญ่ของคาลเท็กซ์ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทแม่ต้องส่ง ANTON WATKIN มาคุมเชิงจนขึ้นมาแทนที่เมื่อสุขวิชไปนั่งเก้าอี้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย

นั่นก็คือ คาลเท็กซ์ ซึ่งเคยครองตลาดเป็นที่ 3 โดยมี ปตท.รั้งท้าย ก็โดน ปตท.แซงหน้าขึ้นมา เมื่อตามมาเป็นที่ 4 ส่วนแบ่งตลาดที่เคยอยู่ระดับ 15% กว่าได้ลดลงเหลือเพียง 11.3% ในปีที่ผ่านมา

ปีนี้ ปตท.พุ่งขึ้นมาครองที่ 1 ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ประมาณ 26% ต่อเดือน มีเดือนกรกฎาคมที่สูงถึง 27.4% ทิ้งห่างเชลล์และเอสโซ่ที่อยู่ในระดับ 22-23% จน ปตท.ถูกรายอื่นวิจารณ์ว่าที่ขายได้มากและขึ้นมาเป็นแชมป์เพราะความได้เปรียบที่เป็นองค์กรของรัฐ

นี่ก็คงเป็นส่วนหนึ่ง ความเป็นของคนไทยก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุด "ต้องยอมรับว่าน้ำมันที่เราขายมีคุณภาพชั้นนำ คนซื้อเพราะคุณภาพ" เลื่อนย้ำถึงจุดขายเมื่อผนวกกับราคาที่ถูกกว่ารายอื่น ประมาณ 3-17 สตางค์ต่อลิตรแล้วแต่ผลิตภัณฑ์ก็ยิ่งช่วยเสริมการขายเพิ่มขึ้น

"จะเห็นว่า เมื่อก่อนเราขายได้น้อย แต่เพราะเราพัฒนาคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ส่วนครองตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี (โดยไม่รวมน้ำมันเตา)" แหล่งข่าวจาก ปตท.อีกรายหนึ่งกล่าว

ภาพลักษณ์ ปตท.ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเสียเปรียบผู้ค้ารายอื่นอย่างมากในอดีต เมื่อเปิดเสรีตลาดน้ำมันค้าปลีกแล้ว ได้กลับมาเป็นข้อได้เปรียบที่เลื่อนเคยวิเคราะห์ไว้ อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลื่อนมั่นใจว่า ปตท.จะเป็นกลไกที่นำเรื่องราคาลอยตัวได้

ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทุกค่ายจะมุ่งตลาดกรุงเทพฯ และรอบปริมณฑลเป็นหลัก ตลาดน้ำมันกรุงเทพฯ และภาคกลางคิดเป็น 40% และตลาดต่างจังหวัดคิดเป็น 60% ของทั่วประเทศ

โดยเฉพาะเชลล์มีปั๊มในกรุงเทพฯ มากที่สุด ขณะที่ ปตท.มีปั๊มในกรุงเทพฯ น้อยที่สุด แต่จะมีปั๊มทั่วประเทศมากที่สุดประมาณ 1,200 แห่ง ส่วนใหญ่กระจายอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งเดิมขยายตัวน้อยทำให้ปั๊ม ปตท.เกิดจุดอ่อนในกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่ต้องการให้ ปตท.ลงทุน ซึ่งขณะนี้ได้เปิดให้ ปตท.ลงทุนปั๊มน้ำมันเองได้มากขึ้น พร้อมกับปรับโฉมหน้าปั๊มทั่วประเทศไล่แข่งค่ายอื่นได้อย่างถึงพริกถึงขิง

ขณะเดียวกัน เลื่อนมองว่าฐานตลาดน้ำมันต่างจังหวัดยังเล็ก มีโอกาสโตมาก เมื่อเปิดเสรีเรื่องราคา ทำให้ ปตท.กลายเป็นแชมป์ตลาดน้ำมันทั่วประเทศ แม้ว่าจะแพ้ในตลาดกรุงเทพฯ ก็ตาม

นอกจากนี้ตลาดน้ำมันที่ทวีการแข่งขันสูงขึ้น ยังทำให้เกิดพันธมิตรทางการค้าขึ้นด้วย จากเดิมที่มีเชลล์ ปตท.เอสโซ่และคาลเท็กซ์ ซึ่งต่างคนต่างขายภายใต้นโยบายควบคุมราคาของรัฐบาล แต่เดี๋ยวนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง..!

ไม่ว่าจะเป็นบางจากฯ ซึ่งลงตลาดค้าปลีกก็เป็นพันธมิตรในการขายส่งน้ำมันให้บีพี คิว 8 นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ตลาดน้ำมันไทย หรือรับจ้างเอสโซ่กลั่นน้ำมัน

พร้อมกันนั้น ก็ยังมีการโยกบุคลากรข้ามข่ายกันอย่างเด่นชัด จากเดิมที่ 3 ค่ายบริษัทน้ำมัน เชลล์ เอสโซ่และคาลเท็กซ์ มีข้อตกลงกันกลายๆ ว่าจะไม่แย่งตัวซึ่งกันและกัน หมายความว่าใครที่ออกจากบริษัทหนึ่งใน 3 ค่ายนี้ก็เป็นอันหลุดโคจรตรงนี้ไปเลย

ต่างกับปัจจุบัน เมื่อตลาดน้ำมันโตวันโตคืน ความต้องการกำลังคนมากขึ้น มีการโยกบริษัทเจ้าเก่าไปอยู่บริษัทน้ำมันใหม่ๆ ใครที่เกษียณก็จะได้รับการทาบทามไปอยู่บริษัทใหม่ เช่น ประยูร คงคาทอง ผู้จัดการฝ่ายตลาดของเอสโซ่ เมื่อเกษียณก็ไปช่วยบริหารที่สยามสหบริการก่อนที่จะลาออกไป เป็นต้น

"ทำให้แต่ละบริษัทพยายามปรับโครงสร้างและสวัสดิการอะไรต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจและรักษาคนเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าคนของตนไปอยู่บริษัทอื่น นั่นหมายถึงข้อมูลและการยุทธ์ที่จะรั่วไหลออกไปด้วย" หลายฝ่ายในวงการตั้งข้อสังเกต

เพราะถ้าใครเพลี่ยงพล้ำต้องเสียกำลังสำคัญไป ย่อมหมายถึงอนาคตของผู้ค้าแต่ละรายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดไทยเท่านั้น แต่หมายถึงตลาดต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอินโดจีนหรือจีน แนวโน้มตลาดน้ำมันใหม่ของกลุ่มผู้ค้าต่างๆ ทำให้เกิดพันธมิตรในตลาดนอกด้วยพร้อมกันไป

สัญญาณเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวบอกแนวโน้มใหม่ของตลาดน้ำมันที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ค่อนข้างชัดเจน..!

จุดเน้นเรื่องคุณภาพน้ำมันเพื่อสิ่งแวดล้อมยังคงจะเป็นจุดขายที่สำคัญต่อไป รวมถึงการให้บริการที่จะเป็นศูนย์บริการเสร็จสรรพในรูปของมินิมาร์ท หรือคอนวีเนียนสโตร์ที่แต่ละค่ายกำลังทำอยู่ รวมถึงปั๊มน้ำมันที่ให้บริการตัวเองหรือการสร้างความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับกลุ่มผู้ค้าอื่น เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น พีทีทีมินิมาร์ท เป็นต้น

"ต่อไปคุณภาพจะแข่งขันหนักและมีจุดเพิ่มความสำคัญคือเรื่องราคา และการบริการ ดังนั้นแต่ละรายคงต้องหาทางลดต้นทุนเพื่อขายน้ำมันคุณภาพดีราคาถูก" เลื่อนชี้ถึงภาพตลาดน้ำมันที่จะเกิดขึ้น

ถ้าแยกมองตลาดกรุงเทพฯ เชื่อกันว่า ต่อไปเรื่องแบรนด์จะมีความหมายน้อยลงเรื่อยๆ เพราะปัญหาจราจรที่ติดขัดมากขึ้น และเมื่อแต่ละค่ายมุ่งผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูง ผู้ใช้อาจเลือกเติมจากปั๊มใดปั๊มหนึ่งก็ได้ที่สะดวก และมีแนวโน้มว่าปั๊มน้ำมันจะย้ายทำเลจากริมถนนใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ไปบริการตามซอยตามหมู่บ้าน ส่วนตลาดต่างจังหวัด ความภักดีต่อยี่ห้อนั้นๆ จะยังสูงในช่วง 10 ปีข้างหน้า

สำหรับน้ำมันเบนซิน ตัวยูแอลจีจะเป็นตลาดที่สอดคล้องกับการขยายตัวของรถยนต์ และกฎใหม่ที่กำหนดให้ตั้งเครื่องกรองไอเสียสำหรับรถใหม่มากยิ่งขึ้น

"แต่เรื่องค่าออคเทนจะเริ่มอิ่มตัว ที่รัฐกำหนดไว้แค่ 95 ตอนนี้เล่นกันไปถึง 97-98 ช่องทางที่จะเล่นกันมากสำหรับเบนซินน่าจะเป็นการเติมสารแอดดิทีฟ เช่น สารเพิ่มออกซิเจน สารชะล้างลดคราบเขม่า เป็นต้น" แหล่งข่าวจากยักษ์น้ำมันเจ้าเก่าอธิบายถึงจุดขายของเบนซินพิเศษในอนาคต

ส่วนดีเซล ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในภาคขนส่งกว่า 50% นั้น ต่อไปจะเห็นการแปรโฉมด้านสเปกและคุณภาพที่ป้องกันมลพิษมากที่สุด และมีแนวโน้มที่จะเจาะตลาดด้วยวิธีขายตรงบริการถึงที่

เช่น เชลล์ได้จีบค่ายโค้กและเป๊ปซี่ให้เป็นลูกค้าประจำ โดยติดตั้งและจ่ายน้ำมันให้ถึงอู่ ต่อไปคงจะเป็นการเจาะกลุ่มรถเมล์และรถโดยสารต่างจังหวัด

ตลาดน้ำมันของแต่ละค่ายจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศ แต่จะหมายถึงภูมิภาคนี้ที่แต่ละฝ่ายเริ่มรุกเข้าไปอย่างรวดเร็ว..!

ปตท.ดูจะรุกหนักในการก้าวไปสู่อินเตอร์ตามโลโก้ใหม่ว่า "พีทีที" แทนคำว่า ปตท.อย่างเก่าเข้าไปยังตลาดลาว เวียดนามกัมพูชา กำลังเตรียมแผนเปิดตลาดค้าปลีกกับไซโนเปค ซีพีเพื่อเปิดขายน้ำมันยี่ห้อใหม่ การร่วมทุนตั้งโรงกลั่นในจีน เป็นต้น

ขณะที่จีนและอินโดนีเซีย ผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ในเอเชียจะมีบทบาทมากขึ้น เพราะความต้องการใช้น้ำมันในเอเชียมากกว่าปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดได้ในภูมิภาคนี้ แหล่งสำรองในเอเชียสนองดีมานด์ภูมิภาคนี้ได้ประมาณ 44% ที่เหลือยังนำเข้าจากตะวันออกกลาง และช่วงสิ้นทศวรรษนี้ การใช้น้ำมันแถบนี้ในปัจจุบันจาก 13.8 ล้านบาร์เรลต่อวันจะเพิ่มเป็นประมาณ 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน

โดยเฉพาะการที่ยักษ์น้ำมันเชลล์ โมบิล เอสโซ่ มีแผนลงทุนในสิงคโปร์ หรือแม้แต่บีพีที่ขาดทุนอยู่ก็กำลังทุ่มสร้างโรงกลั่นที่สิงคโปร์ ขณะที่แนวโน้มธุรกิจน้ำมันในซีกโลกตะวันตกกำลังลดลงและชะงักงัน นับเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงการย้ายฐานธุรกิจน้ำมันมาสู่เอเชียอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น

ยิ่งเมื่อรัฐบาลจะเปิดใช้นโยบายโรงกลั่นเสรีในปี 2543 เชื่อแน่ว่าจะยิ่งทำให้ตลาดน้ำมันเข้มข้นเป็นเท่าทวี และภายใน 10 ปีนี้จำนวนปั๊มที่มีอยู่ร่วม 4,000 แห่งจะเพิ่มเป็นหมื่นแห่งทั่วประเทศ

"คงเฉือนกันมันหยด ถึงตอนนั้นก็จะพิสูจน์เองว่าใครแน่จริงก็อยู่ได้ ส่วนใครที่ไม่แน่จริงก็ต้องพับไป กลไกตลาดจะเป็นตัวจัดความสมดุลให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการแข่งขันโดยปริยาย" แหล่งข่าวจาก ปตท.และบริษัทรายอื่นกล่าวไปในทิศทางเดียวกัน

"ประการสำคัญ นักการเมืองที่ขึ้นมาบริหารประเทศ ไม่ควรย้อนคิดกลับไปใช้นโยบายคุมราคาอย่างเก่าดังที่เป็นข่าว ความจริงไม่ต้องกลัวว่าบริษัทน้ำมันจะขาดทุน เพราะกลไกตลาดจะเป็นตัววัดประสิทธิภาพขององค์กรนั้นเองว่าเป็นอย่างไร ปตท.เองก็ยังต้องแตกตัวออกไปในรูปของบริษัทเพื่อความคล่องตัวยิ่งขึ้น และเชื่อว่าถ้าพัฒนาไปในทิศทางนี้แล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์แล้ว บทบาท ปตท.ก็จะคอยลดลงด้วย" แหล่งข่าวระดับสูงซึ่งรู้จักปตท.และบางจากฯ ดีกล่าวถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

ณ วันนี้ ความฝันของเลื่อนเริ่มเป็นจริงเมื่อ ปตท.ขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่าการเป็นแชมป์..!

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ปตท.จะมีกลยุทธ์รักษาแชมป์ไว้ได้นานเท่าใด…?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.