แบงก์ชาติเตรียมปรับเกณฑ์รายได้ผู้ถือบัตรเครดิตตามที่สมาคมธนาคารไทยเสนอ
เหลือแค่ 1 หมื่นบาท แจงไม่กระทบในเรื่องความเชื่อมั่นของธนาคาร ชี้ที่ผ่านมาแข่งกันคนละมาตรฐาน
แบงก์ตีปีกได้ฐานลูกค้าเพิ่ม
นางทัศนา รัชตโพธิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายนโยบายสถาบันการเงิน
เปิดเผยว่าหลังจากที่สมาคมธนาคารไทยได้ประสานงานมายัง ธปท. เพื่อขอปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุมัติบัตรเครดิตให้ประชาชน
โดยขอลดวงเงินรายได้ของผู้ทำบัตรเครดิตใหม่จาก 15,000 บาท ในปัจจุบันเหลือ
10,000 บาท เพื่อให้สามารถขยายฐานการให้บริการบัตรเครดิตและการให้สินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น
เนื่องจากตลาดบัตรเครดิตยังมีแนวโน้มที่จะขยาย ได้จากนี้อีกมากนั้น
ขณะนี้ธปท.กำลังพิจารณาที่จะผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวให้กับธนาคารพาณิชย์ โดยผู้ขอทำบัตรเครดิตใหม่มีรายได้
10,000 บาทต่อ เดือน หรือ 120,000 บาทต่อปีก็สามารถทำบัตรเครดิตของธนาคาร
พาณิชย์ได้ จากเดิมที่จะต้องมีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน หรือ 180,000 บาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาความ เหมาะสมของรายละเอียดต่างๆ
เช่น ช่วงเวลาที่จะผ่อนปรนและรายละเอียดอื่นๆ ด้วย
"สาเหตุที่ ธปท.พิจารณาที่จะผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากจากเห็นว่าการลดเกณฑ์
จะไม่กระทบต่อเงินฝากของประชาชนให้ลดลง และไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์
และยังเป็นการช่วยเพิ่มความสามารถใน การแข่งขันในการขยายฐานบัตรเครดิต และสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ให้สามารถแข่งขัน
กับบัตรเครดิตของภาคเอกชน ที่ออกมาจำนวนมากในขณะนี้ได้ด้วย"นางทัศนากล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันบัตรเครดิตธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทอีออน
หรือจีอี แคป-ปิตอล และบัตรเครดิตที่ออกโดยห้างสรรพสินค้า นั้น กำหนดวงเงินรายได้ของผู้ขอทำบัตรต่ำกว่ากำหนดของธนาคารพาณิชย์มาก
โดยวงเงินรายได้อยู่ที่ ประมาณ 5,000-7,000 บาท ทำให้สามารถ ขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
และจะทำให้ธนาคารเสียเปรียบในการแข่งขัน
นางทัศนากล่าวต่อว่าในขณะนี้ธปท.กำลังอยู่ในระหว่างการวางแนวทาง ที่จะนำธุรกิจบัตรเครดิตที่เป็นของภาคนอกสถาบันการเงิน
เข้ามาอยู่ในการดูแลของธปท.ด้วย เพื่อให้เป็นมาตร ฐานในการดำเนินการที่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่าขณะนี้คณะกรรมการปรับโครง
สร้างสถาบันการเงินของธปท.กำลังวางเกณฑ์ที่จะดึงเอา ธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ได้ดำเนินการโดยสถาบันการเงิน
เข้ามาดูแลทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องบัตรเครดิต เพราะขณะนี้ได้เข้าไปดูกฎ หมายที่มีอยู่แล้วพบว่าการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของสถาบันนอกสถาบันการเงิน
ไม่เข้าข่าย การคุ้มครองผู้บริโภคโดยกฎหมายใดเลย ทำให้ ไม่มีคนที่จะทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค
หากเกิดปัญหาการเอารัดเอาเปรียบจากการใช้บัตรดังกล่าว ดังนั้น ธปท.จึงจะหาแนวทาง
หรือแก้กฎ หมายเพื่อให้สามารถนำเอาบัตรเครดิตดังกล่าวเหล่านี้มาดูแล เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค
และทำให้ระบบบัตรเครดิตมีมาตรฐานเดียวกัน แข่งขันต้องเป็นธรรม
แหล่งข่าวจากวงการบัตรเครดิตกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางธนาคารแห่งประเทศได้สอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ
จึงทราบว่าที่ผ่านมานั้นมีปัญหาอะไร และภาวะการแข่งขันเป็นอย่างไร
"พวกเราได้เรียนให้แบงก์ชาติทราบว่า ทุกวันนี้บัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ทำให้เกิดการได้เปรียบและเสียเปรียบกัน"
ปัญหาที่สำคัญคือ ความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์จะกำหนด
รายได้ผู้ถือบัตรขั้นต่ำ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าบัตรเครดิตที่ไม่ได้ออกโดยสถาบันการเงิน
(Non-Bank) และบัตรประเภทหลังนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้ขึ้นตรงต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งกว่าที่จะรอให้ร่างพระราชบัญญัติบัตรเครดิตออกมาบังคับใช้ คงจะต้องใช้เวลาอีกนานมาก
หากทางการกำหนดให้คุณสมบัติของผู้ถือบัตรลงมาใกล้เคียงกัน น่าจะทำให้เกิดประโยชน์
กับผู้บริโภคมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่บัตรนอนแบงก์จะคิดดอกเบี้ยผิดชำระพร้อมด้วยค่าปรับ
ค่าธรรมเนียมต่างๆ อยู่ที่ราว 36-48% ต่อปี ขณะที่บัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์จะคิดดอกเบี้ยได้ไม่สูงนัก
อย่าง มากก็ราว 26-27%
แม้ว่ารายได้ผู้ถือบัตรที่ 1 หมื่นบาทต่อเดือน จะสูงกว่าบัตรนอนแบงก์เกือบครึ่ง
แต่ก็ยังถือ ว่าดีกว่าที่จะปล่อยให้เกิดความต่างกันถึง 2 เท่าตัว แต่ผู้ออกบัตรโดยสถาบันการเงินคงทำให้เกิด
ความแตกต่างกับเจ้าตลาดเดิม เช่น สร้างความมีระดับหรือสร้างความภาคภูมิใจในการใช้บัตร
ซึ่งคงเป็นหน้าที่ของแต่ละแบงก์ที่จะต้องไปหากลยุทธ์เพื่อมาแข่งขันกัน
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบัตรนอนแบงก์นั้น เงื่อนไขผู้ถือบัตรที่ 1
หมื่นบาท น่าจะทำให้แบงก์สามารถที่จะสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้จำนวนหนึ่ง เพราะช่วงของรายได้ตั้งแต่
7 พันบาท ถึง 1 หมื่น 5 พันบาทนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก คาด ว่าแบงก์คงจะสามารถให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้ได้
"เราเชื่อว่าจะมีลูกค้าที่ถือบัตรนอนแบงก์ที่มีรายได้ที่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป
เปลี่ยนมาเลือกที่จะใช้บริการบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์มาก ขึ้น จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ต้องถูกจำกัดให้ใช้บริการกับบัตรเครดิตประเภทนี้"