|

ประชัยประเมินราคาTPI9.50บ. หากขายถูกให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นก่อน
ผู้จัดการรายวัน(22 ธันวาคม 2547)
กลับสู่หน้าหลัก
"ประชัย" จี้คลังให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นทีพีไอก่อนในราคาดิสเคานต์ 2.60 บาท แต่หากขายให้พันธมิตร ต้องขายตามราคาตลาดหรือราคาประเมินตามจริงหุ้นละ 9.50 บาท ยืนยันความพร้อมในการซื้อหุ้นทั้งหมดหากคลังขายราคาถูก ส่วนทีพีไอโพลีนเตรียมเจรจาเจ้าหนี้ เพื่อขยายโรงปูนฯ แห่งที่ 4 คาดว่าจะใช้เงิน 6 พันล้านบาท
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI) เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้ผู้บริหารลูกหนี้ หรือนิติบุคคลที่ผู้บริหารลูกหนี้จัดหามามีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนทีพีไอในส่วนหุ้นใหม่และส่วนทุนเดิมทั้งหมดก่อนผู้ร่วมทุนรายอื่นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ในราคาตามแผนฟื้นฟูกิจการฯ ที่จะต้องชำระหนี้เป็นวงเงินประมาณ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยศาลฯได้นัดพิจารณาคดีในวันที่ 25 มกราคม 2548
ซึ่งตนและพันธมิตรมีความพร้อมที่จะซื้อหุ้นทีพีไอทั้งหมด หากกระทรวงการคลังในฐานะ ผู้บริหารแผนจะจัดสรรหุ้นให้ผู้อื่นในราคาเพียงหุ้นละ 2.60 บาท เพราะว่าตนยังมีภาระค้ำประกันหนี้ของทีพีไออยู่ จึงไม่เหมาะสมหากคลังจะขายหุ้นให้บุคคลภายนอกควรเสนอขายในราคาประเมินที่หุ้น 9.50 บาท หรือราคาตลาดที่ 7.60 บาทต่อหุ้น แต่หากเสนอขายในราคาส่วนลด (ดิสเคานต์) ก็ควรให้สิทธิ์เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมก่อน
จากการดำเนินงานของทีพีไอ ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) บริษัทฯมียอดขายรวม 1.4 แสนล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี และค่าเสื่อม ( EBITDA) 2.2 หมื่นล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้ทีพีไอจะมียอดขายรวม 1.5 แสนล้านบาท และ EBITDA 2.4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่คาดไว้ว่าปีนี้จะมีรายได้ 1.15 แสนล้านบาท และ EBITDA 1.87 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเมื่อประเมินราคาหุ้นทีพีไอ โดยวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) ราคาหุ้นปัจจุบันควรอยู่ที่ 22.3 บาท และหากมีการออกหุ้นเพิ่มทุนจาก 7,849 ล้านหุ้นเป็น 1.95 หมื่นล้านหุ้น ราคาต่อหุ้นจะอยู่ที่ 9.50 บาท
"ตามครรลองของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อบริษัทมีการลดทุน/เพิ่มทุน จะต้องเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมก่อน ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 9 หุ้นใหม่ ซึ่งวันนี้หุ้นทีพีไออยู่ที่ 7 บาทกว่า หากซื้อหุ้นใหม่ราคาที่ 2.60 บาทจะมีกำไรทันที 5 บาทต่อหุ้น ดังนั้น ราคาหุ้นทีพีไอปัจจุบันจึงควรเท่ากับ 52.60 บาท จึงไม่น่าแปลกที่หุ้นทีพีไอเป็นที่ต้องการของ นักลงทุน ดังนั้น ถ้าคลังจะเสนอ ขายหุ้นละ 2.60 บาท เราจะขอซื้อทั้งหมด ซึ่งไม่ลำบากในการจัดหาแหล่งเงินทุน เพราะผมยังมีเครดิตในการกู้เงินได้อีก และไม่เคยถูกฟ้องล้มละลาย"
นายประชัย กล่าวต่อไปว่า หากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่ให้สิทธิ์ผู้บริหารลูกหนี้ซื้อหุ้นคืน ก็คงจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาต่อไป ซึ่งความจริงแล้ว ศาลล้มละลายกลางไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม
TPIPL ต่อรองเจ้าหนี้เดินหน้าโรงปูนฯ 4
นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบัญชีและการเงิน บริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)(TPIPL) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่าง หารือกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อเพิ่มไลน์การผลิตในโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ของบริษัทซึ่งก่อนหน้าได้มีการลงทุนไปแล้ว 3 พันล้านบาท โดยจะมีการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มขนาดกำลังการผลิตให้เป็น 3 ล้านตันต่อปี โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน ประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งจุดนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้
เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการหรืออาจ เลือกแนวทางการทำรีไฟแนนซ์กับเจ้าหนี้เพื่อที่จะลด ต้นทุนการดำเนินงาน ที่ปัจจุบันมีต้นทุนการเงินประมาณ 4.9% และเป็นการลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาระหนี้ที่บริษัทที่ต้องจ่ายในปี 2548 มีภาระหนี้รวม 72 ล้านเหรียญสหรัฐโดยในช่วงเดือนมิถุนายนมีภาระต้องจ่าย 36 ล้านเหรียญสหรัฐ
และในสิ้นปีต้องจ่ายอีก 36 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการคืนหนี้ล่วงหน้าไปแล้วประมาณ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่เพิ่มทุนในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ภาระหนี้ในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 20ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมียอดขายรวม 1.9 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2548 ยอดขายจะขยายตัวเพิ่นขึ้นอย่างน้อย 10% ตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นายประเสริฐกล่าวว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นในปีนี้มาจากความต้องการปูนซีเมนต์ในตลาดที่สูงขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคา LDPE ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4 ของปีนี้กำไรก่อนหักค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส3 ขณะเดียวกันในไตรมาส 4 บริษัทยังจะมีกำไรที่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นด้วย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงส่งผลให้ภาระหนี้ที่ต้องคืนลดลงตามไปด้วย
สำหรับการล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส4 ที่ออกมาจะทำให้บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดโดยในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีตัวเลขขาดทุนสะสมจำนวน 2.3 พันล้านบาท ขณะที่สิ้นปี 2546 มียอดขาดทุนสะสมกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|