Turning Numbers into Knowledge


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

เปลี่ยนตัวเลขให้เป็นความรู้

ใครที่เคยเช็กอีเมลของตัวเองตอนเช้าวันจันทร์ แล้วเจออีเมล 35 เรื่องรออยู่ คงจะซาบซึ้งกับความหมายของการล้นเกินของข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาจากเพื่อน เพื่อนร่วมงาน พนักงาน ลูกค้า หรือ supplier เหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของตัวเลขทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในตาราง แผนภูมิ และกราฟ หรือเป็นข้อมูลดิบและสถิติ

ในหนังสือความยาว 38 บทสั้นๆ เล่มนี้ Jonathan Koomey ได้สร้างเครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถจัดการกับตัวเลขได้โดยเฉพาะ ทำให้คุณสามารถอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข และนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับการเตรียมและวิเคราะห์สถิติแต่อย่างใด นั่นเป็นเพียงหัวข้อหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่หนังสือเล่มนี้มีเป้าหมายที่กว้างกว่านั้นมาก Koomey ต้องการให้ผู้อ่านของเขา มีเครื่องมือที่จะใช้รวบรวมข้อมูลความรู้ที่ได้จากตัวเลข และนำข้อมูลความรู้นั้นไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

คุณควรเชื่อตัวเลขหรือไม่

หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 5 ส่วน

ส่วนที่ 1 สิ่งที่ควรรู้
ส่วนที่ 2 เตรียมพร้อม
ส่วนที่ 3 ประเมินสิ่งที่คนอื่นวิเคราะห์ไว้
ส่วนที่ 4 วิเคราะห์ด้วยตนเอง
ส่วนที่ 5 แสดงผลการวิเคราะห์ของคุณ

แต่ละส่วนแบ่งเป็นหลายบท แต่ละบทมีความยาวเพียง 7-10 หน้าเท่านั้น อย่างเช่นในส่วนที่ 3 'ประเมินสิ่งที่คนอื่นวิเคราะห์ไว้' ประกอบด้วยบทต่างๆ ดังนี้

- ตรวจสอบที่มาของตัวเลข Koomey เตือนว่า แม้แต่ตัวเลขที่มาจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขนั้นโดยตรง ก็อาจจะเชื่อถือไม่ได้ เขาแนะให้ผู้อ่านตรวจสอบผู้ที่ให้ข้อมูลตัวเลขนั้นอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบที่มาของตัวเลขนั้นด้วย

- กลั่นกรองข้อเท็จจริง เพื่อค้นหาความจริงออกมาให้ได้จากตัวเลข Koomey แนะให้เราประเมินตัวเลขนั้นด้วยสามัญสำนึกและประสบการณ์ของเราเอง รวมทั้งขอให้ผู้รู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียช่วยประเมินให้ด้วย

- แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเห็น Koomey ชี้ว่ากลเม็ดในการเขียนโน้มน้าวใจอย่างง่ายๆ วิธีหนึ่งที่มักจะพบเสมอ คือ การเสนอข้อเท็จจริงที่มีการเพิ่มความคิดเห็นในเชิงโน้มน้าวใจเข้าไปอย่างแนบเนียน ดังนั้น หากคุณพบข้อความที่เขียนในโครงสร้างดังนี้ "ข้อเท็จจริงนี้เป็นความจริง ดังนั้น คุณควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้" ขอให้ระวังสารโน้มน้าวใจที่แฝงอยู่นั้นให้ดี ผู้ประพันธ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อพบกับข้อความในลักษณะนี้ จะต้องตัดส่วนที่เป็นความเห็นทิ้งไปเสียก่อน จึงจะนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย หรือประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

หัดวิเคราะห์ด้วยตนเอง

ส่วนที่ 4 ของหนังสือเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง การแก้ปัญหาใดๆ ก็ตาม เริ่มต้นด้วยการรู้จักใช้เทคนิคใดๆ ก็ได้ ที่สามารถจะทำให้เห็นธรรมชาติของปัญหา รวมถึงมองเห็นทางออกต่างๆ ที่เป็นไปได้ เทคนิคที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการมองปัญหาคือ การใช้เวลาอย่างเงียบๆ สำหรับการพินิจพิจารณา "แล้วปล่อยให้ทางแก้ผุดลอยขึ้นมาเองในหัวของเรา" เราอาจใช้เวลาเงียบๆ เพื่อจดทางแก้ไขปัญหาทุกทางที่เป็นไปได้ เพื่อลองคิดว่าถ้าทำตามวิธีแก้ปัญหาแต่ละวิธีนั้นจะได้ผลเป็นอย่างไร เพื่อพิจารณาว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ หรือเพื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมดเท่าที่หาได้

เนื้อหาในส่วนนี้ยังครอบคลุมถึงวิธีเผชิญกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และอาจทำให้คุณล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา ประโยชน์ของการใช้หนังสืออ้างอิง แหล่งค้นคว้า และบรรณารักษ์ ประโยชน์ของการหมั่นคิดเปรียบเทียบและเขียนสิ่งที่อาจเป็นไปได้ออกมา ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นโอกาสใหม่ๆ ในการเข้าถึงแก่นของปัญหา ข้อมูลดิบจะมีประโยชน์มากในขั้นตอนนี้ และจะมีประโยชน์มากที่สุดหากได้รับการตรวจสอบซ้ำๆ เพื่อคัดแยกส่วนที่ผิดพลาดออกไป

การสร้างแบบจำลองทำให้สามารถพินิจพิจารณาปัญหาได้อย่างใกล้ชิด และมองเห็นทางออกของปัญหาได้ง่ายขึ้น การคาดการณ์และข้อมูลเพิ่มเติมจากคนอื่นๆ นอกเหนือจากผู้ที่ให้ตัวเลข จะช่วยยืนยันความถูกต้องของผลการวิเคราะห์ของคุณ และทำให้คนอื่นๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.