|

เปิดช่องปตท.ดึงพันธมิตรซื้อหุ้น-บริหารแผน"ทีพีไอ"
ผู้จัดการรายวัน(3 ธันวาคม 2547)
กลับสู่หน้าหลัก
"ปตท.-กบข." เดินหน้าสำรวจฐานะการเงิน "ทีพีไอ" ด้าน "ปลัดคลัง" เปิดโอกาส ปตท. ควงคู่พันธมิตรเข้าร่วมทุนได้เลย ขณะที่คลัง-พันธมิตรใหม่ต้องถือหุ้นใหญ่เกิน 50% แน่นอน มั่นใจก่อนปีใหม่ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น พร้อมปฏิเสธไม่รู้เรื่องนักลงทุนร้องกรรมาธิการ ส่วนข้อเสนอซื้อของประชัยไม่ได้ทั้งหมดแน่ เพราะต้องยึดตามแผนฟื้นฟูฯ เป็นหลัก
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะทำงานจัดหาผู้ร่วมลงทุนและการจัดสรรการขายส่วนทุนและหุ้นบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอพีแอล ตามแผนฟื้นฟูกิจการ (ฉบับแก้ไข) ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการทำโครงสร้างผู้ถือหุ้นทีพีไอว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่รับรองว่าจะได้โครงสร้างผู้ถือหุ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ล่าสุด บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้เข้าตรวจสอบข้อมูลของทีพีไอแล้ว ในเบื้องต้นทาง ปตท.ได้แสดงความประสงค์จะเข้าถือหุ้นในทีพีไอประมาณ 30% แต่การจะเข้ามาร่วมทุนนั้น ทาง ปตท.จำเป็นต้องมีการพิจารณาข้อมูลของทีพีไออย่างรอบคอบ เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชนที่จะต้องให้คำตอบแก่ผู้ถือหุ้นได้ เมื่อปตท.เข้าร่วมทุนในทีพีไอแล้วต้องสามารถเป็นผู้บริหารงานเพื่อให้ทีพีไอเดินหน้าต่อไปได้ด้วย
ส่วนปตท.อาจเข้าเป็นพันธมิตรร่วมทุนรายเดียว หรืออาจมีพันธมิตรร่วมด้วยก็ได้ เนื่องจากตามแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ไม่ได้ระบุสัดส่วนหุ้นที่จะจัดสรร เพียงแต่ระบุคุณสมบัติและหลักการว่า หุ้นทั้งหมด 90% ที่กระทรวงการคลังต้องดำเนินการจัดสรรนั้น ให้มีการกระจายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เจ้าหนี้ ลูกหนี้ และพันธมิตรใหม่ อย่างเป็นธรรมเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการสำรวจทรัพย์สินและหนี้สิน (ดิวดิลิเจนท์) สามารถเดินหน้าควบคู่กับการตรวจสอบข้อมูลได้เลย
สำหรับเรื่องราคาหุ้น ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการตกลงกัน แต่ในหลักการแล้ว เมื่อฝ่ายหนึ่งแสดงความสนใจ และเข้าตรวจสอบข้อมูล จะมีการพิจารณาความเหมาะสมของราคาหุ้นที่จะซื้อไปด้วย ซึ่งราคาหุ้นจะต้องมีความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย แต่จะอยู่ที่เท่าใดต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเวลาด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องการจัดสรรหุ้นทั้งหมดจะได้เห็นความชัดเจนมากขึ้นก่อนปี 2548 อย่างแน่นอน
นายศุภรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คณะทำงานมีกรอบเบื้องต้นในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อ ไปตามรูปแบบที่ควรจะเป็นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่า กระทรวงการคลังและพันธมิตรจะต้องเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยจะต้องมีหุ้นรวมกันเกิน 50% ของหุ้นทั้งหมด แต่กระทรวงการคลังจะหาพันธมิตรที่เป็นเอกชนเข้ามาถือหุ้นรวมกันเกิน 50% เพื่อให้ทีพีไอยังคงสภาพเป็นบริษัทเอกชนต่อไป
ส่วนข้อเสนอขอซื้อหุ้นที่จะจัดสรรทั้งหมดของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีพีไอนั้น นายศุภรัตน์กล่าวว่า จะต้องพิจารณาตามแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งตามแผนไม่ได้ระบุว่า จะต้องจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพียงแต่ระบุให้มีการกระจายหุ้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วยความเป็นธรรม ดังนั้นจึงส่งเรื่องนี้ให้ผู้บริหารแผนฯพิจารณา
"ลูกหนี้จะเอาอย่างหนึ่ง เจ้าหนี้จะเอาอีกอย่างหนึ่ง สหภาพฯ ก็จะเอาอีกอย่าง ดังนั้นเขาจึงให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นตัวกลาง ซึ่งการพิจารณาจัดสรรหุ้นเราจะต้องทำตามแผนฟื้นฟู เพื่อทำให้กิจการทีพีไอเดินหน้าต่อไปได้"
ส่วนกรณีกรรมาธิการการปกครองพิจารณาให้ กระทรวงคลังระงับเรื่องการจัดสรรหุ้น จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมเรื่องการซื้อหุ้นของ บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด (อีพีแอล) ตามที่ตัวแทนผู้ถือหุ้นรายย่อยร้องเรียนมานั้น นายศุภรัตน์ กล่าวแต่เพียงสั้นๆ ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง
ก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาหุ้นที่เหมาะสมสำหรับหุ้นทีพีไอนั้นจะต้องต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาที่เทรดซื้อขายในกระดาน เนื่องจากจะมีหุ้นเพิ่มทุนอีกกว่า 1 หมี่นล้านหุ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นต้องปรับลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปราคาที่แน่นอนได้
การพิจารณาเข้าไปร่วมทุนในทีพีไอนี้ ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีของปตท. ซึ่งทีพีไอมีการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่โรงกลั่นน้ำมันไปจนถึงการผลิตเป็นเม็ดพลาสติก แต่ถ้าปตท.เข้าไปถือหุ้นในทีพีไอจะต้องตอบคำถามผู้ถือหุ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินปตท.
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|