ผ่าทางตันรวมทศท.กับกสท.หลังแนวคิด “ไกรสร พรสุธี” ที่ยุบทศท.รวมกสท.
ถูกต่อต้านหนักจากสหภาพฯ เพราะหมกเม็ดประเด็นการแปรสัญญาและค่าเชื่อมวงจรเอื้อประโยชน์เอกชน
และไม่แยแสปัญหาแรงงาน คณะกรรมการชุด “ศรีสุข จันทรางศุ” ปลัดกระทวงคมนาคมปัดฝุ่นแนวทางจัดตั้งบริษัทรวมทุน
แล้วเปลี่ยนสภาพทศท.และกสท.เป็นบริษัทลูก เตรียมเสนอที่ประชุมกนร.
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่าแนวคิดของคณะกรรมการนโยบายศึกษาการรวมกิจการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.)
กับการสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.) ที่มีนายศรีสุข จันทรางศุ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
ที่ได้รับความเห็นชอบจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28
ก.พ.ที่ผ่านมาภายหลังการประชุมร่วมกันระหว่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายปองพล
อดิเรกสาร รองนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รมว.คมนาคมคาดว่าจะใช้วิธีการจัดตั้งบริษัทรวมทุนในรูป
Telecom Holdingหรือบริษัทแม่ขึ้นมาก่อนเพื่อถือหุ้นในทศท.และกสท. หลังจากนั้นจึงนำหุ้นในบริษัทรวมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ในขณะเดียวกันทศท.และกสท.ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนองค์กรทั้ง 2 เข้าด้วยกัน
คณะทำงานดังกล่าวมีกรรมการประกอบด้วยประธานบอร์ดของทั้ง 2 หน่วยงาน ผู้อำนวยการทศท.
ผู้ว่าการกสท.ตัวแทนกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับนโยบายให้ศึกษาเป็นเวลา
30 วัน
แนวทางการรวมทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าวจะทำให้บริษัททศท.และบริษัทกสท.จะมีสภาพเป็นหน่วยธุรกิจหรือ
Business Unit ในบริษัทรวมทุนและมี Executive Committee ประกอบด้วยผู้แทนจากทั้ง
2 บริษัท และอยู่ภายใต้การกำกับนโยบายจากบอร์ดบริษัทรวมทุน
“แนวทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดี่ที่สุดโดยแยกไปรษณีย์ออกไป เนื่องจากแนวทางที่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งตามพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจมีปัญหามากและยากที่จะปฏิบัติได้”
แนวทางที่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัททศท.และกสท.ตามพรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจได้โครงสร้างใหม่ประกอบด้วย
1.บริษัทที่รวมกันระหว่างทศท.และกสท.2.บริษัทบริหารสัญญาร่วมการงานซึ่งจะดูแลสัญญาสัมปทานของทศท.และกสท.3.บริษัท
ไปรษณีย์ไทย โดยทั้ง 3 บริษัท จะอยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง
นอกจากนั้นคณะทำงานศึกษากรณีการรวมกิจการทศท.และกสท.(ด้านโทรคมนาคม) ที่ได้รับมอบหมายจากรมว.คมนาคม
ให้ศึกษาการรวมกิจการที่มีนายไกรสร พรสุธี รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
ก็มีแนวคิดที่จะยุบรวมทศท.กับกสท.เข้าด้วยกัน และให้มีหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการแปรสัญญาสัมปทาน
แหล่งข่าวกล่าวว่าแนวทางการรวมทศท.เข้ากับกสท.ตามผลศึกษาของคณะทำงานชุดนายไกรสร
เป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติเนื่องจากได้รับการต่อต้านจากพนักงานเพราะเป็นการเอื้อประโยชน์กับเอกชนในหลายประเด็นเช่น
1.หากรวม 2 หน่วยงานเข้าด้วยกันปัญหาค่าเชื่อมวงจรหรือแอ็คเซ็สชาร์จที่ดีแทค
และทีเอออเรนจ์ต้องจ่ายให้ทศท.เลขหมายละ 200 บาทต่อเดือนก็จะหายไปทันที เพราะเอกชนจะถือว่าเมื่อรวมกิจการแล้วจะกลายเป็นบริษัทเดียวกัน
ในส่วนนี้ทศท.จะเสียหายไม่ต่ำกว่าปีละ 6,000 ล้านบาท
2.ในเรื่องการแปรสัญญาสัมปทาน หากยุบรวมทศท.และกสท.เข้าด้วยกัน รวมทั้งยกโอนไปให้บริษัทที่จะตั้งขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะตามแนวทางสมุดปกขาวของสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย
ที่มีนายไกรสร พรสุธี รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นนายกสมาคมฯ และมีสมาชิกประกอบด้วยบริษัทเอกชนที่ล้วนแล้วแต่มีส่วนได้เสียกับสัญญาสัมปทานทั้งสิ้น
อาจมีปัญหาในแง่กฏหมาย เพราะเอกชนคู่สัญญา ถือว่าคู่สัญญาเดิมคือทศท.และกสท.เปลี่ยนสภาพไปแล้ว
ไม่อยู่ในการคุ้มครองของกม.สามารถเบี้ยวค่าตอบแทนหรือถือว่าสัญญาสัมปทานดังกล่าวสิ้นสุดลงทันที
โดยที่เอกชนไม่ต้องจ่ายผลตอบแทนสักบาท ซึ่งประเด็นนี้ร้ายแรงกว่าการแปรสัญญาตามกรอบศึกษาของสถาบันทรัพย์สินจุฬาฯที่ทำให้รัฐเสียหายกว่า
2 แสนล้านบาทเสียอีก
3.พนักงานกว่า 2 หมื่นคนของทศท.ไม่เห็นด้วยกับการยุบรวมทศท.กสท. เข้าด้วยกันโดยที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
(สรท.) ได้ทำหนังสือถึงรมว.คมนาคมเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา ชี้แจงในประเด็นที่คณะทำงานของนายไกรสร
ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องปัญหาแรงงาน โดยไม่ได้บันทึกประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นที่นายมิตร
เจริญวัลย์ ประธานสหภาพฯได้นำเสนอไว้คือ 1.หากมีการรวม 2 องค์กร ต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับสถานภาพของสหภาพฯที่ต้องต่อเนื่องไปยังองค์กรใหม่โดยมิต้องมีการจัดตั้งใหม่
และ2.หากมีการรวม 2 องค์กร ต้องมีความชัดเจนในการทีส่วนร่วมของพนักงานในการขับเคลื่อนองค์กรที่มีสิทธิ์ถือหุ้นในบริษัทได้คนละ
8 เดือน แต่ไม่เกิน 6.5% ของทุนจดทะเบียน ตามที่ได้มีการตกลงกับพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
“รายงานของคณะทำงานจึงเป็นรายงานที่ไม่สมบูรณ์ และมีข้อมูลไม่ครบถ้วนขาดประเด็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อสถานภาพสหภาพฯและต่อพนักงาน
จึงไม่เหมาะ สมที่จะเป็นรายงานเพื่อพิจารณาของผู้บริหารประเทศในการตัดสินใจ
การนำเสนอผลการพิจารณาของคณะทำงานต้องมีข้อมูลครบถ้วนตรงไปตรงมา โดยไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นเพื่อให้ระดับนโยบายได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนประกอบการพิจารณา”
ในหนังสือดังกล่าวยังระบุว่าความไม่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกระทันหันซึ่งที่ผ่านมาทศท.ใช้เวลานานเกือบ
5 ปีในการทำความเข้าใจกับพนักงานเกี่ยวกับทิศทางการแปรรูปในนามของสหภาพฯเกรงว่าพนักงานกว่า
2 หมื่นคนของทศท.จะเกิดความไม่มั่นใจในนโยบายดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลไปถึงการต่อต้านการแปรรูปทศท.
แนวคิดของสหภาพฯเห็นว่าทศท.มีประวัติยาวนานเกือบ 50 ปีในขณะที่กสท.เพิ่งก่อตั้งในปี2519
หรือมีอายุเพียง 26 ปี การไต่เต้าในตำแหน่งบริหารต่างๆไม่ว่าจะเป็นระดับกอง
ฝ่ายหรือเขต แม้กระทั่งผู้ช่วย รองผู้อำนวยการ เส้นทางของทศท.ยาวไกลกว่ากสท.มากนักในระดับเท่าเทียมกัน
ที่สำคัญทศท.มีสินทรัพย์รายได้สูงกว่ากสท. 3-4 เท่า
หากต้องยุบรวมจริงๆ ควรเอากสท.มายุบเป็นส่วนหนึ่งของทศท.มากกว่าแต่ที่สำคัญกว่านั้น
วัฒนธรรมองค์กรทั้ง 2 ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสามารถสะท้อนออกมาในแนวทางการทำธุรกิจที่เห็นได้ชัดเจน
อย่างทศท.พร้อมที่จะแข่งขันกับเอกชนไม่ว่าโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์มือถือ
แต่กสท.ถนัดประเภทผูกขาดโทรศัพท์ระหว่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว หรือชอบที่จะยกสิทธิในการให้บริการต่างๆให้เอกชนอย่างโครงการซีดีเอ็มเอ
เรื่องนี้นายไกรสร ในฐานะประธานบอร์ดกสท.รู้ดีที่สุด
“หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน ก็เหมือนพรรคไทยรักไทยกับความหวังใหม่
ตอนยุบพรรครวมกันก็ต้องยุบความหวังใหม่มาอยู่ไทยรักไทย ยุบพรรคเล็กมาอยู่กับพรรคใหญ่
เหมือนหากต้องรวมทศท.กับกสท. ก็ต้องเอากสท.มารวมกับทศท.มากกว่า” นายมิตร
เจริญวัลย์ ประธานสหภาพฯกล่าว
สหภาพฯยังเรียกร้องให้ใช้แนวทางการแปรรูปเดิม คือให้ทศท.จดทะเบียนตั้งบริษัทก่อนแล้วจึงรวมทศท.
กับกสท.(ด้านโทรคมนาคม)เข้าด้วยกัน ภายหลังจากที่กสท.แยกโทรคมนาคมกับไปรษณีย์ออกจากกันอย่างชดัเจนและจัดสรรหุ้นในส่วนพนักงานให้เสร็จสิ้น
แนวทางของสหภาพฯดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของคณะกรรมการของนาย ศรีสุขที่ตั้งขึ้นใหม่
เพราะมองว่าการตั้งบริษัทรวมทุนสามารถแก้ปัญหาเรื่องหุ้นของพนักงานและการแปรสัญญาสัมปทาน
เพราะทศท.และกสท.ก็ยังคงอยู่เพียงแต่เปลี่ยนเป็นบริษัทจำกัดเท่านั้น หลังจากนั้นจึงหาแนวทางแปรสัญญาต่อไป
ความไม่ชัดเจนในเรื่องการแปรรูป กำลังก่อให้เกิดความสับสนในทศท.อย่างหนัก
แหล่งข่าวกล่าวว่าในช่วงเช้าวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมานายสุธรรม มลิลา ผู้อำนวยการทศท.
นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ประธานบอร์ดทศท.รองผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการ
รวมทั้งโทรศัพท์จังหวัดทั่วประเทศ ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการแปรรูปทศท.
ซึ่งในที่ประชุมมีการแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจ
การบริหารงานของนายสุธรรมและนายศุภชัย ของผู้บริหารระดับสูงทศท.ครั้งแรก
เพราะนายสุธรรมจะนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการอีกไม่กี่เดือนในขณะที่นาย
ศุภชัย ในฐานะประธานบอร์ดก็เป็นตำแหน่งทางการเมืองที่อาจถูกปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ
แต่ปรากฏว่านายสุธรรม ได้ยอมตกลงรวมกับกสท.โดยไม่เคยรับฟังความเห็นของผู้บริหารระดับรองผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการเลย
เป็นการดำเนินการโดยพลการเอาอนาคตทศท.เป็นเดิมพัน ทั้งๆที่เป็นเรื่องใหญ่
ควรให้ผู้บริหารที่จะอยู่กับทศท.อีกหลายปีมีโอกาสในการร่วมตัดสินใจบ้าง
นอกจากนี้นายสุธรรมและนายศุภชัยยังเห็นชองบให้หยุดเรื่องกระบวนการเปลี่ยนสภาพองค์กรหรือ
Tranformation ออกไปอีก 30 วันเพื่อรอความพร้อมของกสท.ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับรองไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“เป็นครั้งแรกที่รองผู้อำนวยการและผู้ช่วย กล้าแสดงความเห็นขัดแย้งกับผู้อำนวยการ
เพราะที่ผ่านมาทศท.อยู่ในลักษณะน้องๆเกรงใจพี่ แต่คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับอนาคตของทศท.ว่าจะอยู่หรือจะไป”
นอกจากนี้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งตามพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ยังแต่งตั้งนายไกรสรเป็นประธานคณะทำงานศึกษาผลดีผลเสียของโครงสร้างการรวมกิจการใหม่
และตั้งคณะทำงานศึกษาผลดีผลเสียในการรวมกิจการเพื่อศึกษาปัยหาต่างๆอย่างรอบคอบ
และแต่งตั้งนายสมหมาย ภาษี รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนว่าบริษัทบริหารสัญญาร่วมการงานจะเป็นไปได้เพียงใด
และจะผิดกม.หรือไม่ โดยให้ระยะเวลาศึกษาภายในวันที่ 4 เม.ย.
แหล่งข่าวกล่าวว่าแนวทางการรวม 2 องค์กรด้านนายไกรสรที่ต้องการให้ยุบรวมเข้าด้วยกัน
และแนวทางของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นใหม่ชุดนายศรีสุข คงเข้าไปพิจารณาร่วมกันในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
(กนร.) ที่มีนายปองพลเป็นประธานก่อนเสนอให้ครม.เห็นชอบต่อไป
นายศรีสุข จันทรางศุ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในฐานะประธานคณะกรรมการรวมกิจการระหว่าง
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.)และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ว่า
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงสร้างใหม่กิจการโทรคมนาคม โดยใช้ชื่อว่า บริษัทไทยเทเลคอม
จำกัด ซึ่งประกอบไปด้วย หน่วยงานธุรกิจ หรือบียู (BU: Business Units) ดังนี้
คือ1. ทศท. และ 2. กสท. และมีความเป็นไปได้ว่าที่จะเพิ่ม ธุรกิจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ
1900MHz. เป็นอีกหน่วยงานใหม่ โดยมีคณะกรรมการ(บอร์ด) และ คณะกรรมการบริหาร(Executive
Committee) ดำเนินการบริหาร และบริษัทไทยเทเลคอม จำกัด จะเป็นบริษัทด้านกิจการสื่อสารโทรคมนาคม
ครบวงจรที่พร้อมเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในปี 2545
โดยบริษัทดังกล่าวจะต้องมีประธานบริหาร(President)เพียงเดียว ส่วนของหน่วยธุรกิจทั้ง
2 หน่วยงาน คือทศท. และกสท.จะอยู่ภายใต้การดูแลของกรรมการผู้จัดการชองแต่ละหน่วยงาน
อย่างไรก็ดีขณะนี้จะต้องดำเนินการในเรื่องของสิทธิประโยชน์ของพนักงานทั้ง
2 องค์กร ให้แล้วเสร็จ อาทิ สวัสดิการเงินเดือนของพนักงานจำนวน 6 เท่า เงินเดือนจำนวน
2 เท่าของพนักงานในการซื้อหุ้นในราคาพาร์ และเงินโบนัสพิเศษจำนวน 2 เท่าแก่พนักงาน
และนำทรัยพ์สินที่มีอยู่ทั้ง 2 องค์กรมาประเมินเป็นมูลค่าหุ้นต่อไป โดยจะนำสินทรัพย์ต่างๆ
ของทั้ง 2องค์กร รวมไว้ในบริษัทไทยเทเลคอม จำกัด
ส่วนเรื่องสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคมที่มีอยู่จะมอบอำนาจการบริหารเป็นไปตามสิทธิเดิมของคู่สัญญาฯระหว่างรัฐและเอกชน
คือ ทศท. และกสท. โดยเรื่องการแแปรสัญญากิจการโทรคมนาคมจะเป็นคนละส่วนกับการดำเนินการรวมกิจการทศท.
และ กสท.