"คูดู"ตั้งบริษัทร่วมทุนทุ่ม1,500ล.ลุยอสังหาฯ


ผู้จัดการรายวัน(25 พฤศจิกายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"คูดู" ประกาศตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่กับบริษัทคนไทยและกองทุนจากสิงคโปร์ ในไตรมาส 1 ปี 48 เม็ดเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้า 3 ปีพัฒนา 4 โครงการ ทั้งคอนโดฯ, บ้านเดี่ยว และรีสอร์ต ต้นปี 48 ประเดิมบุกตลาดรีสอร์ต 2 โครงการที่กระบี่ และสมุย แจงต้นเหตุถอนเงินลงทุนโครงการเดอะ ล็อฟท์ เย็นอากาศ เนื่องจากบริษัทร่วมทุนใหม่ไม่ต้องการให้ร่วมลงทุน

นายอาเธอร์ นาโปลิตาโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท คูดู จำกัด เปิดเผยถึงยกเลิกการร่วมทุนกับบริษัทไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาโครงการเดอะ ล็อฟท์ เย็นอากาศ ซึ่งคูดูถือหุ้นในสัดส่วน 45% โดยให้เหตุผลว่าคูดูจะร่วมทุนใหม่กับอีก 2 บริษัทในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งทางบริษัทร่วมทุนไม่ต้องการให้คูดูไปร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ ที่มีการพัฒนาโครงการอสังหาฯเช่นเดียวกัน

"พันธมิตรใหม่ที่เป็นบริษัทคนไทยไม่ต้องการให้บริษัทร่วมลงทุนกับบริษัทคนไทยอีก เพราะเกรงว่าการบริหารและการพัฒนาจะทับซ้อนกัน จึงให้บริษัทยกเลิกการร่วมทุน" นายอาเธอร์กล่าว

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทางไรมอนแลนด์ ได้ให้เหตุผลการถอนทุนของคูดูว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการให้มีขนาดเล็กลงและ เพิ่มจำนวนยูนิต ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มจากเดิมลงทุน 750 ล้านบาท เป็น 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งทางคูดูเองไม่มีเม็ดเงินในการเพิ่มทุนที่เพียงพอ เพราะมีโครงการที่ทางคูดูพัฒนาขึ้นมาเอง

นายอาเธอร์ กล่าวถึงการร่วมทุนใหม่ว่า ในปลายไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัทจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ 2 พันธมิตรใหม่ในสัดส่วนการลงทุนเท่าๆ กัน โดยมีเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยพันธมิตรใหม่ดังกล่าวเป็นบริษัทของคนไทย และกองทุนจากประเทศสิงคโปร์

สำหรับแผนการลงทุนใน 3 ปีแรก พัฒนา 4 โครงการ คาดว่าต้องใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรก ที่จังหวัดกระบี่เป็นโครงการรีสอร์ต ในต้นปี 2548 และโครงการวิลล่า จำนวน 30 ยูนิต บนเนื้อที่ 25 ไร่ ที่ดินใกล้กับโรงแรมโฟร์ซีซั่น เกาะสมุย สำหรับรายละเอียดและรูปแบบโครงการอยู่ระหว่างการออกแบบ ส่วนในช่วงปลายปี 2548 พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และในปี 2550 พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการต่างๆของบริษัทร่วมทุนดังกล่าว จะเน้นไปที่ตลาดระดับบนเป็นหลัก รวมถึงตลาดระดับกลางซึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 5-6 ล้านบาท

นายอาเธอร์ กล่าวว่า นอกจากการตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ในเดือนมกราคม 2548 จะมีการแถลงข่าวการรวมตัวกับพันธมิตรอีก 2 ราย ได้แก่

บริษัท ชินคาร่า จำกัด ผู้พัฒนาโครงการไฟคัสเลน คอนโดมิเนียม ส่วนอีกบริษัทเป็นผู้พัฒนาโครงการในย่านหัวหิน โดยการร่วมทุนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อตั้งเป็นพันธมิตรภายใต้ชื่อ "Smaller Developer Association" ในการร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในหลายๆ ด้าน อาทิ ด้านการตลาด การบริหารงาน รวมถึงประสบการณ์ในการดำเนินงาน เพื่อให้แต่ละบริษัทมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่มีแผนในการร่วมลงทุนแต่อย่างใด ส่วนในอนาคตนั้นหากภาวะเศรษฐกิจและตลาดเหมาะสมอาจร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯก็เป็นได้

สำหรับแผนการลงทุนของคูดู ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ เดอะ ทรี สาทร เป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 4 ยูนิต และบ้านแฝด 16 ยูนิต รวม 20 ยูนิต บนเนื้อที่ 9 ไร่ ในซอยสาทร 1 ราคาขายระหว่าง 37-48 ล้านบาท ซึ่งในมีเพียง 1 ยูนิต ราคา 90 ล้านบาท

ด้านนายอภิสิทธิ์ ลิ้มล้อมวงศ์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารงานขายโครงการ เดอะ ทรีส์ กล่าวว่า ปัจจุบันเดอะ ทรีส์ มียอดขายแล้ว 5 ยูนิต รวมถึงบ้านราคา 90 ล้านบาทดังกล่าวด้วยโดยลูกค้าที่ซื้อเป็นชาวต่างชาติ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ประมาณปลายปี 2548

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงภาพรวมของบ้านระดับบนที่มีราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปว่า ในรอบปี 2547 มีโครงการบ้านราคาแพงเข้า สู่ตลาดเพียง 2,000 ยูนิตเท่านั้น ในจำนวนดังกล่าวได้ขายไปแล้ว 40% หรือประมาณ 800 ยูนิต ส่วนยูนิตที่เหลือจำนวน 1,200 ยูนิต คาดว่าจะสามารถระบายออกไปได้ภายใน 2 ปี อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าความต้องการบ้านระดับบน ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของโครงการระดับบนคือ ทำเลที่ต้องอยู่ในเมือง ซึ่งหาได้ยากและมีราคาแพงไม่เหมาะในการพัฒนา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถลงทุนได้ ส่งผลโครงการระดับดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยรวมถึงคู่แข่งน้อย ตามไปด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.