ฮาริสันแต่งตัวเข้าตลาดฯระดม200ล้านขยายธุรกิจ


ผู้จัดการรายวัน(24 พฤศจิกายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"ฮาริสัน" จ่อเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ตั้งเป้าพ.ค.ปีหน้าเข้าตลาดฯ เตรียมระดมทุนเพิ่ม 200-250 ล้านบาท ใช้ขยายสาขา และเครือข่ายการบริการครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ล่าสุดซื้อโครงการทาวน์เฮาส์เก่าย่านศรีนครินทร์ มาพัฒนาใหม่มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท เตรียมขายไตรมาส 1 ปี 48 คาดรายได้ปีหน้าโตอีก 50%

นายอลัน หลิน ประธานกรรมการบริหาร ฮาริสัน กรุ๊ป บริษัทรับบริหารงานขายโครงการ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับขยายธุรกิจในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร รวมถึงการขยายเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุน หมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยโครงการอสังหาฯที่กลุ่มบริษัทรับบริหารงานขาย ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ที่ดินเปล่าและคอนโดมิเนียม ในทำเลต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยมูลค่าที่บริษัทรับบริหารในปัจจุบันมีมูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท

"พอร์ตด้านการบริหารของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภาวะของธุรกิจอสังหาฯ ขณะที่เจ้าของโครงการส่วนใหญ่ต้องการมืออาชีพเข้ามาช่วยในเรื่องการตลาดและการขายเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2542 บริษัทมีมูลค่าโครงการที่บริหารงานขายจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ล้านบาท และในปี 2548 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 50% ซึ่งปัจจุบันถือเป็นพอร์ตบริหารงานขายโครงการอสังหาฯที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่สามารถขยายการให้บริการได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่การให้บริการของบริษัทยังไม่สามารถครอบคลุมได้" นายอลันกล่าว

นายอลัน กล่าวต่อว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/47 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 199.80 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 54.35 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม 116.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% จากทั้งปี 2546 ที่มีรายได้ 53.30 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีกำไรสุทธิรวม 17.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทั้งปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิรวม 6.38 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 168%

ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางด้านการเงิน เปิดเผยว่า อนาคตของธุรกิจอสังหาฯยังมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตที่มั่นคงมากกว่าในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นหลังจากวิกฤตเศรฐกิจที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

"สำหรับแผนงานการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของฮาริสัน คาดว่าจะสามารถยื่นแบบคำขอเสนอขายหุ้นแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ซึ่งตามเป้าหมายเราจะนำหุ้นกลุ่มบริษัทฮาริสัน เข้าเป็นบริษัท่จดทะเบียนในช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาพิจารณาอนุมัติของสำนักงาน ก.ล.ต. ส่วนจะยื่นขอเข้าเป็นหลักทรัพย์ในหมวดอุตสาหกรรมใดนั้นต้องพิจารณาในเรื่องของธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง" ดร.ก้องเกียรติกล่าว

สำหรับโครงการสร้างผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของบริษัท นายอลัน หลิน ถือหุ้นในสัดส่วน 35% นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงษ์ ถือหุ้นในสัดส่วน 17% และรายอื่นๆ อีก 28% อย่างไรก็ดี นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทฯ อาทิ บริษัทโฆษณา บริษัทผู้ประกอบการ อีกประมาณ 3-4 บริษัท รวมหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ประมาณ 15% โดยจะมีการเซ็นสัญญาในวันนี้ (24 พ.ย.47)

"คาดว่าหุ้นที่บริษัทจะนำเข้าซื้อขายในตลาดจะมีประมาณ 20-25% ซึ่งบริษัทหวังว่าจะได้เม็ดเงินเข้ามาประมาณ 200 กว่าล้านบาท เพื่อนำไปขยายกิจการและลงทุนเพิ่ม" นายกิตติศักดิ์กล่าว

สำหรับด้านการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมลงทุน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสีลม ซิตี้ รีสอร์ท เป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 147 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขาย 3 ยูนิตคาดว่าจะรับรู้รายได้ใน ไตรมาส 1/48 โดยบริษัทถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 35% และโครงการสุขุมวิท ซิตี้ รีสอร์ท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ขายไปแล้ว 50% บริษัทถือหุ้นในโครงการนี้ 25% โดยทั้ง 2 โครงการบริษัทลงทุนรวม 90 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ซื้อโครงการเซ็นซาร์ม ซึ่งเป็นโครงการเก่าในนามบริษัทอาริออน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ซึ่งฮาริสันถือหุ้นอยู่ 93.60% โดยโครงการดังกล่าวเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น ขนาด 22-28 ตร.ว.ย่านศรีนครินทร์ จำนวน 120 ยูนิต ซื้อมาประมาณ 160 ล้านบาท และต้องใช้เม็ดเงินลงทุนพัฒนาปรับปรุงเพิ่มอีก 40 ล้านบาท โดยมีมูลค่า ขาย 350 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 3 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ประมาณเดือนมีนาคม 2548

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน มาจากด้านการบริการ 70% และอีก 30% มาจากการลงทุน โดยในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการ ลงทุนในการพัฒนาโครงการเป็น 70% และลงทุนในการบริการ 30% ซึ่งการลงทุนด้านการบริการนี้บริษัทมีแผนเปิดสาขาเพิ่ม 10 สาขา ในปี 2548 เพื่อให้ธุรกิจการบริการครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งเตรียมรับบริหารการขายบ้านมือสองอีกด้วย โดยในแต่ละสาขาจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.