นายปณิธาน เศรษฐบุตร กรรมการ ผู้ อำนวยการใหญ่ ประเทศไทยและอินโดจีน บริษัท
ไทรคอน เรสเทอรองตส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2545 ธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนหรือ
QSR (Quick Service Restaurant) ของไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะใช้กลยุทธ์การตัดราคาเข้ามาแข่งขันกันแล้ว
ยังมีผลมาจากการที่มีร้านอาหารที่ไม่ได้เป็นเชนเกิดขึ้นจำนวนมากมีการเติบโตมากกว่า
20% ซึ่งเป็นการแย่งลูกคาทางอ้อมของร้านฟาสต์ฟู้ดด้วย
เขาคาดด้วยว่า ปีนี้ตลาดรวมฟาสต์ฟู้ดประเภทเฮฟวี่ฟาสต์ฟู้ด ( ไก่ พิซซ่า
เบอร์เกอร์?) จะเติบโตขึ้นประมาณ 10-15% จากปีที่แล้วที่มีมูลค่าประมาณ 13,500
ล้านบาท ซึ่งไทรคอนเองก็คาดว่าผลประกอบการโดยรวมปีนี้จะเติบโตเฉลี่ยเท่ากับตลาดรวม
10% เช่นกัน จากเดิมที่ผ่านมาจะเติบโตประมาณ 15-20% ทั้งนี้ ตลาดไก่ยังคงเป็นตลาดที่มีการเติบโตและน่าสนใจมากที่สุดเหมือนเดิม
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ล่าสุดหลังจากที่นายปณิธานขึ้นมาเป็นผู้บริหารเบอร์หนึ่งและนับเป็นคนไทยคนแรกที่ขึ้นตำแหน่งนี้ในไทรคอนประเทศไทย
โครงสร้างการบริหารยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าใด แต่จะมีนายศรัณย์ สมุทรโคจร
ผู้จัดการทั่วไป ไทรคอนสิงคโปร์ จะกลับมารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโสในไทยเป็นเบอร์สองรองจากนายปณิธานเท่านั้น
นอกนั้นก็มีผู้บริหารต่างชาติมาใหม่อีกคือ นายฟาฮัด เคียนี่ เข้ามาดูแลทางด้านปฎิบัติการ
เริ่มวันที่ 18 มีนาคมนี้ เข้ามาแทนนายจอห์นสัน ที่ย้ายกลับไปแคนาดาแล้ว
นอกนั้นก็มีผู้บริหารต่างชาติอีกเล็กน้อยเป็นคนเดิมเช่น ดร.เธ ไฮชู ดูแลทางด้านวิจัยพัฒนาเมนูสูตรใมหม่ๆ
ของพิซซ่าฮัท นายแอนโธนี่ ลีออง ดูปฎิบัติการของเคเอฟซี
“นโยบายของผมก็คงไม่มีอะไรที่แตกต่างจากนายเฮลเตอร์ ชิว อดีตกรรมการผู้จัดการคนเดิมเพราะเราทั้ง
คู่ทำงานร่วมกันมานานแล้ว อาจจะมีอะไรบ้างที่แตกต่างออกไป แต่เป้าหมายเดียวคือ
การทำให้ไทรคอนฯเป็นผู้นำในตลาดฟาสต์ ฟู้ดในประเทศไทย”
เขากล่าวถึงแผนการลงทุนในปีนี้ด้วยว่า บริษัทฯตั้งงบประมาณไว้ที่ 700 ล้านบาท
เฉพาะของกลุ่มไทรคอนฯไม่รวมของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อทำการขยายสาขาของไก่ทอดเคเอฟซีประมาณ
26 สาขา (กลุ่มเซ็นทรัลขยายอีก 10 สาขา) และขยายสาขาของร้านพิซซ่าฮัท อีกประมาณ
15 สาขา ซึ่งแตกต่างจากปีที่แล้วที่ใช้งบประมาณลงทุนเปิดสาขาใหม่กว่า 1,050
ล้านบาท
โดยที่พิซซ่าฮัทนั้น ปีนี้จะเน้นการเพิ่มยอดขายของแต่ละร้านหลังจากที่ปีที่แล้วมีการเร่งขยายสาขาอย่างมาก
จนถึงขณะนี้มีประมาณ 99 แห่งแล้ว รวมทั้งการพัฒนาเมนูใหม่ๆที่แตกตางจากคู่แข่ง
ซึ่งล่าสุดได้ออกเมนู สไปซี่ อิตาเลี่ยน ซอสเซจ ขณะนี้พิซซ่าฮัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ
45-50% จากตลาดพิซซ่ารวมในไทยมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท และปีนี้พิซซ่าฮัทจะต้องทำกำไรแล้วหลังจากที่โหมการลงทุนมาอย่างหนักช่วง
2 ปีที่ผ่านมา
ด้านเคเอฟซีนั้น จากผลการสำรวจความเห็นหของผู้บริโภคอายุระหว่าง 15-49 ปีในกรุงเทพฯ
โดยบริษัทเอซีนีลสันช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมปีที่แล้ว ปรากฎว่าผู้บริโภคกว่า
83% เห็นว่าเคเอฟซีเป็น ร้านอาหารบริการด่วนที่ดีที่สุดสำหรับไก่ทอด ซึ่งปีนี้ยังคงจะรักษาระดับความเป็นผู้นำตลาดไก่ทอด
ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 41% ในปัจจุบัน รวมทั้งครองความเป็นผู้นำตลาด QSR ในไทยที่มีมูลค่าสูงกว่า
13,500 ล้านบาทด้วย
ขณะเดียวกันในแง่ของกลยุทธ์ทางการตลาด จะไม่เน้นเรื่องสงครามราคา เพราะจะทำให้เสียระบบไปทั้งตลาด
อีกทั้งต้นทุนบางอย่างก็มีราคาที่สู่งขึ้น ไทรคอนฯจะไม่ทำราคามาแข่งกับคู่แข่งขัน
แต่จะนำเสนอราคาที่มีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถยอมรับได้
สาเหตุที่ไม่ใช้สงครามราคาเนื่องจากว่า หากมองให้ลึกแล้วการทำเช่นนั้นจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
และในที่สุดผู้ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นเกษตรกรระดับชาวบ้าน เนื่องจาก
ผู้ประกอบการที่เล่นเรื่องราคาจะต้องไปบีบซัปพลายเออร์ให้ได้ราคาต้นทุนตำ
ขณะเดียวกันซัปพลายเออร์ก็ต้องไปบีบพวกพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยต่อเนื่อง และสุดท้ายเกษรกรก็ต้องถูกบีบราคาด้วยเช่นกัน
เขากล่าวด้วยว่า ไทรคอนฯจะหันมา มุ่ง การทำตลาดและกิจกรรมโปรโมชันกับผลิตภัณฑ์ของไทยที่เป็นแบรนด์โลคัลมากขึ้น
เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการซัปพลายเออร์คนไทย ล่าสุดได้ร่วมมือกับริษัท
มาลีเอนเตอร์ไพร้ซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ตรามาลี
เพื่อร่วมกันทำโปรโมชั่น ซัมเมอร์ ปาร์ตี้เซ็ท 199 บาท ในเดือนมีนาคมนี้
คาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายกว่า 30%
ส่วนการขยายสาขานั้น ไทรคอนฯกำหนดพื้นที่ไว้ 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มกรุงเทพฯและปริมณฑล
ซึ่งมีสาขาครอบคลุมแล้ว 2. กลุ่ม จังหวัดหัวเมืองใหญ่ มีสาขาเปิดบริการมากแล้ว
3.กลุ่มหัวเมืองใหญ่ทางด้านการค้าแต่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มมีการขยายสาขาเข้าไปบ้างแล้วแต่
ยัง ไม่มากนัก 4.กลุ่มจังหวัดที่มีประชากรต่ำกว่า 1 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้ทางไทรคอนฯเริ่มที่จะมีการเข้าไปเปิดตลาดบ้างเช่นกัน
โดยพิจารณาจากจังหวัดที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันจังหวัดใหญ่ที่เข้าไปแล้วก็จะพิจารณาเปิดสาขาในระดับอำเภอขนาดใหญ่มากขึ้น
นายสาโรช วงศ์ธนูน้อย ผู้อำนวยการฝ่ายซัปพลายเชน แมเนจเม้นท์ เปิดเผยว่า
ในปีนี้ไทรคอนฯตั้งเป้าส่งออกผลิตภัณฑ์จากซัปพลายเออร์ของไทยไป สู่ เครือข่ายไทรคอนต่างประเทศมากกว่า
1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมกับจะขยายฐานตลาดต่างประเทศมากขึ้น
โดยขณะนี้ อยู่ ระหว่างการเจรจากับประเทศในเอเชีย 3 ประเทศ และตะวันออกกลางอีก
3 ประเทศ
ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบทางด้านไก่ ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ นอกจากนั้นก็เป็นอุปกรณ์และวัตถุดิบอย่างอื่นเช่น
เฟอร์นิเจอร์ แพคเกจจิ้ง เป็นต้น โดยตลาดหลักจะอยู่ที่ เอเชียคือ ประเทศ
เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ตะวันออกกลางเช่น จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย
ขณะนี้เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ส่งไปที่สิงคโปร์ และอีกประเทศคือฟิลิปปินส์อยู่ระหว่างการเจรจา
ทั้งนี้การส่งออกจะเป็นเรื่องของซัปพลายเออร์ โดยที่ไทรคอนเป็นเพียงผู้ประสานงาน
ติดต่อให้ และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะส่งออกไปยังเครือข่ายของไทรคอนเท่านั้น