|
เอเจเอฟโอดหุ้นซบกระทบ LTF นักลงทุนชะลอซื้อดูภาวะตลาด
ผู้จัดการรายวัน(15 พฤศจิกายน 2547)
กลับสู่หน้าหลัก
บลจ.เอเจเอฟ เผยความผันผวนในตลาดหุ้นกระทบการออกกองทุน LTF เพราะผู้ลงทุนชะลอการซื้อแม้กองทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ตาม ชี้ช่วงนี้เป็นจังหวะดีในการลงทุนในตลาดหุ้น แม้บรรยากาศซบก็ตาม เชื่อแนวโน้มยังอยู่ในช่วงขาขึ้นพร้อมแนะนักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มลงทุนผ่านกองทุนรวม
นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยาเจเอฟ จำกัด เปิดเผยว่า ความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์ที่ผ่านมากระทบกับการออกกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เนื่องจากทำให้ผู้ลงทุนมีแนวคิดชะลอการลงทุนในกองทุนดังกล่าว ทั้งๆ ที่มองว่านี่เป็นโอกาสที่ควรเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น
"คนไทยส่วนใหญ่มักใช้ความรู้สึกในการลงทุนมากกว่าดูปัจจัยพื้นฐาน เมื่อปีที่แล้วตลาดหุ้นขึ้นไป 760 จุด ออกกองทุนหุ้น ขายดีมาก แต่ปีนี้พอออกกองทุนดังกล่าวกลับขายไม่ดี ทั้งที่ก็เห็นว่าผลประกอบการของบริษัทแต่ละแห่งมีกำไร แต่คนกลับไม่เข้าไปลงทุน" นายเรืองวิทย์ กล่าว
นายเรืองวิทย์ กล่าวอีกว่า อย่างการออกกองทุน LTF ที่ผู้ลงทุนหลายรายกำลังรอจังหวะเข้าซื้อ เพราะความไม่เชื่อมั่นของกองทุนดังกล่าวที่จะลงทุนในตลาดหุ้น แต่โดยส่วนตัวมองว่าการรอจังหวะของ LTFไม่สำคัญเท่าการลงกับกองทุนหุ้นทั่วไป เพราะ LTF เป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งความเสี่ยงที่ผันผวนในระยะสั้นนั้นจะกระทบต่อกองทุนดังกล่าวไม่มากดังนั้นถ้าจะลงทุนใน LTF ควรที่จะมองอนาคต ดูที่ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก
ปัจจุบันการที่ดัชนีลงมาที่ 639 จุด (ณ วันที่ 12 พ.ย.) น่าจะเป็นจังหวะดีในการเข้าไปเก็บหุ้น เพราะโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปอีกเป็นไปได้สูงซึ่งคาดว่าจะขึ้นไปประมาณ 670 จุด แต่ถ้าลงจะอยู่ที่ประมาณ 610 จุด และปัจจัยต่างๆ ในเรื่องของไฟไต้ก็เป็นอะไรที่รับรู้กันมาตลอด ผลกระทบจึงเป็นระยะสั้น
ทั้งนี้การลงทุนควรดูที่ปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งถามว่าที่ผ่านมาหุ้นหลายตัวก็มีบ้างที่ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไป อย่างเช่นหุ้นบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากหวัดนก หรือหุ้นบางกลุ่มได้รับผลดีจากการขึ้นราคาน้ำมันซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุนก็ต้องพิจารณาให้ดี
อย่างไรก็ตาม นายเรืองวิทย์ แนะนำว่า หากเป็นนักลงทุนมือใหม่ การลงทุนกับกองทุนรวมน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณา ซึ่งข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมนั้น คือมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารกองทุนให้ เพราะผู้ที่คิดจะลงทุนด้วยตัวเองนอกจากต้องมีความรู้แล้วยังต้องมีเวลาในการติดตามความเคลื่อนไหวของภาวะตลาดด้วย
นายเรืองวิทย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ข้อดีอีกอย่างคือกองทุนรวมสามารถไปลงทุนที่ต่างประเทศได้ ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ และข้อดีของการลงทุนในต่างประเทศคือการกระจายความเสี่ยง จากปัจจัยที่เกิดขึ้นในประเทศ อย่างเช่นกรณีที่เกิดไฟใต้ หรือโรคหวัดนกในไทย แต่ที่ต่างประเทศไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนั้นการลงทุนในประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนั้น
แต่ทั้งนี้การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่มีด้านดีเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายเรืองวิทย์กล่าวว่า จุดด้อยของการลงทุนในกองทุนรวมคือไม่สามารถบอกได้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมจะให้ผลตอบแทนได้เท่าไร ซึ่งตรงนี้นักลงทุนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไปเทียบกับธนาคารซึ่งให้ผลตอบแทนที่ 1% อย่างไรก็ตามถ้าผู้ลงทุนอยากลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนชัดเจน แนะว่าควรลงในกองทุนที่ให้การค้ำประกันผลตอบแทน
นอกจากนี้การลงทุนในกองทุนรวมยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ในขณะที่ผู้ลงทุนด้วยตนเองจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ อีกทั้งผู้ลงทุนไม่มีสิทธิเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นหน้าที่ของบริษัทจัดการกองทุนในการพิจารณา
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|