"จี สตีล" ระดมทุนราว7พันล.


ผู้จัดการรายวัน(28 ตุลาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

จี สตีลเตรียมเพิ่มกำลังการผลิต จาก 1.8 ล้านตันเป็น 3.4 ล้านตันต่อปี ใช้เวลาดำเนินการ 15-18 เดือน ชี้จะช่วยทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าโดยจะสามารถรับรู้รายได้ ภายในปี 2549 ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 1.4 หมื่นล้านบาทมาจากทำไอพีโอ 50% และกู้จากสถาบันการเงิน อีก 50%

นายเรียวโซ่ โอกิโน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทจี สตีล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจากกระบวนการผลิตเดิม 1.8 ล้านตันต่อปี เพิ่มเป็น 3.4 ล้านตันต่อปี โดยจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15-18 เดือนซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2548 และจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2549 และจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2549 จะเพิ่ม เป็น 6 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบันนี้บริษัทจี สตีลนับได้ว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กครบวงจรตั้งแต่การหลอม หล่อ รีดร้อน รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีกำลังการผลิตในระดับ 1.3-1.4 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวม โดยกำลังการผลิต 95% เป็นการขายภายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 5% ส่งไปขายในต่างประเทศเช่นประเทศแคนาดา และยุโรป สาเหตุที่ขายภายในประเทศในสัดส่วนที่มาก เนื่องจากขณะนี้ความต้องการเหล็กภายในประเทศอยู่ในระดับที่สูงจึงจำเป็นต้องขายในประเทศ ก่อน

นายเรียวโซ่กล่าวว่า เงินลงทุนที่จะใช้ในการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นเงินที่มาจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชน ทั่วไป (IPO) ประมาณ 50% ของเงินลงทุน และอีก 50% จะเป็นเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงินในประเทศซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทจี สตีลถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้กับสถาบันการเงินเลย เนื่องจากภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้แล้วก็ได้ดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนหลังจากการลงทุนในเฟสแรก ในการขยายกำลังการผลิตแล้วจะทำให้บริษัทสามารถประหยัดเงินตรา ต่างประเทศในส่วนของการชดเชยการนำเข้าและส่วนหนึ่งที่จะสามารถส่งออกไปได้จำนวนปีละประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นบริษัทมีแผนในส่วนของเฟสที่สองที่จะทำเกี่ยวกับโรงถลุงเหล็กซึ่งจะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าอยู่ในระดับ 1 แสนล้านบาทภายหลังปี 2550 แล้ว

สำหรับความคืบหน้าในการนำบริษัทจี สตีลเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วซึ่งจะต้องรอให้สำนักงานก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบเสียก่อน โดยบริษัทนำหุ้นออกมากระจายจำนวน 20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียน ทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทมีทุนเรียกชำระแล้ว 8,200 ล้านบาท

"เชื่อว่าภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้าความต้องการ เหล็กยังมีอยู่มากดังนั้นจึงเชื่อว่าราคาเหล็กคงจะอยู่ในระดับทรงตัวในระดับสูงต่อไปอีกเพราะขณะนี้ความต้องการในตลาดโลกมีมากกว่าจำนวนเหล็กที่ผลิตออกมา" นายเรียวโซ่กล่าว

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทจีสตีลนั้นจะมีนายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทถือหุ้นอยู่ประมาณ 1% และครอบครัวของนายสมศักดิ์ประมาณ 10% ผู้ถือหุ้นใหญ่คือพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 60-70% ซึ่งหลังจากกระจายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปแล้วจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงประมาณ 20%

ทั้งนี้ คาดว่าหุ้น บริษัท จี สตีลจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเป็นบริษัทที่ไม่มีภาระหนี้ นอกจากนี้แนวโน้มธุรกิจเหล็กยังดีอยู่เพราะความต้องการเหล็กยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.