|
EMCเล็งประมูลงานเมกะโปรเจกต์ตังทีมศึกษาดึงต่างชาติเป็นพันธมิตร
ผู้จัดการรายวัน(4 ตุลาคม 2547)
กลับสู่หน้าหลัก
อีเอ็มซียิ้มร่าหลังรัฐบาลเตรียมลงทุนในโครง การขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) 7 แสนล้านบาท เดินหน้าตั้งทีมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมร่วม ประมูลงานกับพันธมิตรต่างประ-เทศตั้งเป้า 10% ของงานที่ประมูล ส่วนแนวโน้มรายได้ทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้รวมกว่า 1.5 พันล้านบาท ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะมีงานในมือประมาณ 3 พันล้านบาท ไม่รวมโครงการของรัฐ
นายสุทธิศักดิ์ โล่ห์สวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายลงทุนเพิ่มในโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในช่วง 5 ปี มูลค่าการลงทุนประมาณ 7 แสนล้านบาท บริษัทได้ตั้งทีมงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประมูลงานต่างๆที่เกี่ยว ข้องกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้มีการ หารือกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อร่วมประมูลงานในลักษณะของกิจการร่วมค้า (Joint Venture)
“อีเอ็มซีถือเป็นบริษัทชั้นนำติดอันดับ 1 ใน 3 ที่มีความชำนาญ ในการวางระบบ ซึ่งตามปกติแล้ว การก่อสร้างต่างๆ มีส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการวางระบบประมาณ 30% และเราตั้งเป้าที่จะเข้าร่วมประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ให้ได้ประมาณ 10% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด”
สำหรับความพร้อมในเรื่องของเงินทุนปัจจุบันทุนจดทะเบียน ของบริษัทสามารถรับงานได้ประ-มาณ 5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเป็นการก่อสร้างโครงการของรัฐจะมีเม็ดเงินที่รัฐต้องจ่ายก่อนประมาณ 10% ขณะที่บริษัทเองก็มีเครดิตทางการค้า จึงทำให้เห็นว่า การรับงานโครงการขนาดใหญ่ไม่น่าจะมีปัญหา หรือทำให้ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนรองรับในระยะสั้น
นายสุทธิศักดิ์กล่าวว่า มีความ พร้อมที่จะประมูลงานโครงการรัฐ เนื่องจากสามารถบริหารความเสี่ยง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ และการที่รัฐบาลประกาศที่จะเข้ามาควบคุมราคาเหล็ก จะทำ ให้สามารถคำนวณต้นทุนการดำเนินงานได้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2547 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ โดยคาดรายได้รวมทั้งปีจะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท และในปี 2548 คาดว่าจะมียอดงานในมือเพิ่ม เป็น 3 พันล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 1.7 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมโครงการของรัฐที่จะ เริ่มทยอยเปิดประมูลงาน
ทั้งนี้ หากผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายบริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่กว่า 247 ล้านบาท และสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในปี 2549
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวมประ-มาณ 400 ล้านบาท กำไรสุทธิ 39.7 ล้านบาท
นายสุทธิศักดิ์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อ สร้างไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากงานที่ได้รับมาก่อน หน้ามีการล็อกราคาไว้หมดแล้ว ทำ ให้งานวางระบบแทบจะไม่ได้รับผล กระทบจากการเพิ่มขึ้นของวัสดุก่อ สร้าง แต่งานในส่วนของการก่อ สร้างได้รับผลกระทบบ้างจากราคาเหล็กและปูนที่ขยับขึ้น แต่ในส่วนนี้เป็นสัดส่วนรายได้ที่ไม่มาก ขณะที่รายได้หลักมาจากการวางระบบ
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงต่อไป บริษัทตั้งเป้ารับงานของภาครัฐมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2548 สัดส่วนงานของภาครัฐจะขยับ มาเป็น 65-70%
สำหรับการรับงานของบริษัทตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา บริษัทชนะงานประมูล 6 โครงการมูลค่ารวม 790,471,112 บาท แบ่งเป็นโครงการติดตั้งระบบไฟฟ้า โครงการ Riverside Garden Marina มูลค่างาน 214,000,000 บาท ราคานี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2549
โครงการพหล เมทโทร คอนโดมิเนียม มูลค่างาน 83,457,443 บาท และโครงการโรงงานผลิตยารักษาสัตว์ มูลค่างาน 68,328,669 บาท ราคานี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
โครงการคลังสินค้า โรงงานผลิตยารักษาสัตว์ มูลค่างาน 57,685,000 บาท และโครงการปรับปรุงงานระบบประกอบอาคารสำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระยะที่ 1 มูลค่างาน 125,975,000 บาท ราคานี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และล่าสุดชนะการประกวดราคางานวางระบบเคเบิลใยแก้วให้แก่การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (กฟภ.) มูลค่า 238,000,000 บาท
บริษัทมีการประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งงานภาคเอกชนและภาครัฐ ทำให้มีงานในมือค่อนข้างมาก สมมติกันเล่นๆ ต่อให้ปีหน้าไม่มีงานประมูลเพิ่มเติม แต่ก็ยังสามารถมีรายได้เข้ามาแน่นอน จากงานที่จะส่งมอบในปีหน้า และงานที่ได้มาไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากมีเงินทุนพอในการดำเนินงาน อีกทั้ง ยังมีธนาคารกรุงเทพ หนึ่งในผู้ถือหุ้นสนับสนุนด้านการเงิน และบริษัทได้มีการเสริมความแข็งแกร่งโดยเป็นพันธมิตรธุรกิจร่วมกันกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างใน ต่างประเทศ เพื่อรับงานในอนาคต
นายสุทธิศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในกระดานปกติได้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายติดอันดับ 1 ใน 10 เกือบ 10 วัน ซึ่งถือเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นของนักลงทุน จากเดิมมีผู้ถือหุ้นไม่เกิน 1 พันคน เพิ่มเป็น 3 พันคน แต่ใน จุดนี้ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับ นักลงทุนที่มีอยู่ในตลาด 2 แสนคน และราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มถือว่าเป็นไปตามกลไกตลาด
"เราใช้เวลา 7 ปีในการแก้ไขปัญหาของบริษัท ซึ่งได้ให้บทเรียนอะไรหลายอย่างกับเรา และขณะนี้เรามั่นใจว่าเดินมาถูกทาง และได้รับการตอบสนองจากทุกฝ่าย"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|