SCIB เตรียมบุกธุรกิจลีสซิ่งครบเครื่องยูนิเวอร์แซลแบงก์


ผู้จัดการรายวัน(6 กันยายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

ธนาคารนครหลวงไทยเล็งบุกตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในปี 48 เผยอาจเป็นการซื้อพอร์ตสินเชื่อหรือตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ รองรับการเป็นยูนิเวอร์แซลแบงก์ ที่ขาดแค่ธุรกิจลีสซิ่งเท่านั้น ผู้บริหารระบุไม่มีแผนนำบริษัทในเครือเข้าตลาดหุ้น อ้างต้องการถือหุ้น 100% เพื่อง่ายแก่การบริหาร ส่วนการเพิ่มทุนในช่วง 3 ปีนี้ไม่มีให้เห็นแน่ เนื่องจากเงินกองทุนแข็งแกร่ง

นางสาวอังคณา สวัสดิ์พูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB)เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงต่อไปของธนาคารเตรียมที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจลีสซิ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจเดียวที่ธนาคารยังไม่เข้าไปลงทุน หลังจากที่ก่อนหน้าได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจประกันชีวิต ประกันวินาศภัย บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อเป็นการรองรับนโยบายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจร (ยูนิเวอร์แซลแบงก์) โดยคาดว่าธุรกิจลิสซิ่งจะสามารถเปิดตัวได้ภายในปี 2548 โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อรถยนต์เป็นหลัก

ส่วนแนวทางการลงทุนในธุรกิจลีสซิ่ง อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะเข้าไปซื้อกิจการเดิมของบริษัทธุรกิจลีสซิ่งอยู่แล้ว หรือการเปิดตัวด้วยการตั้งบริษัทใหม่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มในขณะนี้ ทำให้บริษัทต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภค

สำหรับนโยบายการทำธุรกิจของธนาคารนครหลวงไทย ไม่มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือเข้าตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม็กซ์ประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย บริษัทนครหลวงไทยบริการ ที่ถือหุ้นอยู่ 100% และบริษัทนครหลวงไทยประกันวินาศภัย ที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 45.5% เนื่องจากต้องการให้ง่ายต่อการบริหารงาน

"การมีธุรกิจที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ถือเป็นจุดเด่นของธนาคารนครหลวงไทย ที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร"

นางสาวอังคณา กล่าวว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) 14 วัน อีก 0.25% และมีธนาคารบางแห่งได้ขยับอัตราดอกเบี้ยตามบ้างแล้ว แต่ธนาคารนครหลวงไทยยังไม่มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ เนื่องจากยังมีสภาพคล่องล้นกว่า 1 แสนล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมียอดปล่อยกู้ 3 แสนล้านบาท ขณะที่มีเงินฝากรวมกว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้

นอกจากนี้ การที่ธนาคารต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราที่สูงถึง 3.5% ที่ธนาคารเร่งระดมเงินฝากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะครบกำหนดในสิ้นปี 2548 ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ยังไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ย ซึ่งมีสัดส่วนสูงประมาณ 20% ของพอร์ตเงินฝาก และจะครบกำหนดการชำระคืนในครึ่งปีหลังของปีนี้ประมาณ 7 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะครบกำหนดภายในสิ้นปี 2548

นางสาวอังคณากล่าวว่า หลังจากที่เงินฝากที่มีต้นทุนสูง ครบกำหนดจะทำให้ธนาคารสามารถ บริหารต้นทุนได้ง่าย เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3% เท่านั้น เมื่อครบกำหนดแล้วจะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับของธนาคารเพิ่มขึ้น

ส่วนแผนการเพิ่มทุนของธนาคารในช่วง 3 ปีข้างหน้า ธนาคารนครหลวงไทยยังไม่มีนโยบายเพิ่มทุน เนื่องจากมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบีไอเอสอยู่ที่ 12.37%

สำหรับผลการดำเนินงานธนาคารงวดครึ่งปีแรกของปี 2547 มีกำไรสุทธิ จำนวน 3,702 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิจำนวน 1,343 ล้านบาท ธนาคารมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 2,359 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.