ประเทศไทย พื้นฐานยังเชื่อถือได้


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

หากไม่นับอินโดนีเซียแล้ว ประเทศไทยถือได้ว่าประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนักหน่วงที่สุด ในเอเชีย ในช่วงปี 2541 โดยที่ดีมานด์ในประเทศลดลงถึง 20% และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีลดลงราว 9% ทั้งนี้ มีเพียงการฟื้นตัวจากภาคเศรษฐกิจภายนอกโดยบังเอิญเท่านั้น ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงไปกว่านี้

การปรับตัวภายนอกนั้น เห็นได้ชัดจากการที่มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยอยู่ ที่ระดับสูงกว่า 20% ของ จีดีพี ในปี 2539-2541 จาก ที่เคยอยู่ในภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาก่อน การฟื้นตัวขนานใหญ่ของดุลบัญชี เดินสะพัด และการเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าของการลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ ล้วนมีบทบาทสำคัญ ที่ทำให้ ไทยสามารถชำระหนี้สินภายนอกได้ และฟื้นฟูสภาพคล่องในระดับนานาประเทศได้อีกครั้ง

หนี้สินต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกับสัดส่วนของหนี้สินระยะสั้น ที่ลดลงจาก 50% ของยอด หนี้สินรวมในปี 1995 มาอยู่ ที่ 27% ในปี 1998 นอกจากนั้น การจัดสรรเงินช่วยเหลือของไอเอ็มเอฟ ยังช่วยผ่อนคลายภาระหนี้อัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศล่วงหน้าได้ราว 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย ขณะที่เงินสำรอง ต่างประเทศอาจเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปลายปี 2000 อันเป็นผลมาจากยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว 6-9% ของจีดีพีอย่างต่อเนื่อง ส่วนการปรับปรุงหนี้ต่างประเทศ และดัชนีบ่งชี้สภาพคล่อง เมื่อผนวกรวมกับประวัติการชำระหนี้ ที่ไม่มีรอยด่างพร้อย ก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการยกระดับ หรือปรับปรุงอันดับความน่าเชื่อถือในเงินตราต่างประเทศระยะยาว ไปเป็นระดับที่น่าลงทุน

นอกจากนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงเดินหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง และขณะนี้เริ่มมีกฎหมายใหม่ออกมารองรับการปฏิรูปเศรษฐกิจบ้างแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านอยู่บ้าง การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน จึงขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจ และการปรับปรุงการลงทุนของกิจการธนาคาร อย่างไรก็ตามยอดหนี้ประเภท ที่ไม่ก่อรายได้ ( ซึ่งสูงเกือบ 50%) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่ากระบวนการปรับปรุงแก้ไขยังต้องดำเนินต่อไปอีกนานพอสมควร

การดำเนินนโยบายการคลังแบบระมัดระวัง ที่มีมานานช่วยให้รัฐบาลดำเนินมาตรการต่างๆ ได้คล่องตัวอยู่บ้าง แต่กระนั้น ผลกระทบของการปรับโครงสร้าง การเงิน และการกระตุ้นด้านการคลังจะก่อหนี้ของภาครัฐเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ ที่สูงขึ้นจะสร้างภาระให้กับงบประมาณแผ่นดิน และทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรักษาระดับของหนี้สาธารณะด้วย แต่จากประสบการณ์ในอดีตชี้ให้เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหามากนัก หากมีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษี โดยที่อัตราดอกเบี้ย ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโต ที่ระดับ 5-6% ต่อปี หมายความว่า หนี้สาธารณะโดยรวมจะลดลงจาก 51% มาอยู่ ที่ 16% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสภาพ ที่ใกล้เคียงกับช่วงปี 2529-2539

จุดแข็งของประเทศไทย เศรษฐกิจค่อนข้างเปิด และยืดหยุ่น เนื่องจากไม่มีนโยบายแทรกแซงจากภาครัฐ ฝ่ายบริหารมีแนวทางปฏิรูป โดยปฏิบัติตามแผน โครงการของไอเอ็มเอฟ มีประวัติการดำเนินนโยบายการคลังแบบระมัดระวัง ไม่มีประวัติด่างพร้อยในเรื่องการชำระหนี้สาธารณะ

จุดอ่อนของประเทศไทย มีระบบการเงิน ที่อ่อนแอ มียอดหนี้ ที่ไม่ก่อรายได้สูง มีฐานการส่งออก ที่ไม่ทันสมัยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง พึ่งพาปริมาณความต้องการจากภายนอกมากเกินไป มาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ โครงสร้างพื้นฐานไม่ดี



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.