MAJOR ฮุบแปซิฟิก มาร์เก็ตติ้งฯ รุก "โฮมวิดีโอ" หนุนรายได้เพิ่ม


ผู้จัดการรายวัน(3 กันยายน 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

MAJOR ลุยซื้อหุ้น แปซิฟิก มาร์เก็ตติ้งฯ 80% ด้วยการทุ่มเงิน 80 ล้านบาทซื้อหุ้นเพิ่มทุน หวังรุกตลาดโฮมวิดีโอหนุนรายได้เพิ่ม พร้อมส่งกรรมการเข้าบริหาร 5 ราย โบรกเกอร์เชื่อการเข้าเจาะกลุ่มธุรกิจโฮมวิดีโอ จะส่งผลดีให้รายได้เพิ่มขึ้น เชื่อตลาดนี้ยังโตได้อีกโดยปี 48 ไม่ต่ำกว่า 10% แนะลงทุนที่ราคา 22 บาท

นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ กรรมการ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) (MAJOR) เปิดเผยมติของที่ประชุมกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 9/2547 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติการลงทุนในบริษัท แปซิฟิก มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด โดยบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ซึ่งได้เข้าหุ้นสามัญ 1.2 ล้านหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 80,000,000 บาท ส่งผลให้ MAJOR กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 80% ในบริษัทดังกล่าว

โดย บริษัท แปซิฟิก มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด มีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท ชำระแล้วทั้งจำนวน และจะดำเนินการเพิ่มทุนอีก 12 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาท และเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดมูลค่าสิ่งตอบ แทนจากความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท หลักทรัพย์ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) โดยใช้วิธีส่วนลดกระแสเงินสด ซึ่งได้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดดังนี้ คือ ต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ย 10.5% มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ 140-206 ล้านบาท และมูลค่า 80% ที่บริษัทลงทุนคิดเป็น 112.165 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนครั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการขยายธุรกิจที่ใกล้เคียงเกี่ยวเนื่องกัน และเสริมกับธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถที่จะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต ซึ่งจะสามารถเข้าไปในตลาดโฮมวิดีโอที่มีขนาดใหญ่มากได้ในอนาคต ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้ คือเงินจากการดำเนินงานภายในบริษัท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

อนึ่ง MAJOR ลงทุนจำนวน 80 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าขอบเขตมูลค่าที่ที่ปรึกษาทางการเงินและโดยใช้ฐานข้อมูลตามงบการเงิน ณ 31 ธันวาคม 46 ของบริษัท แปซิฟิก มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทน เม้นท์ กรุ๊ป จำกัด

สำหรับโครงสร้างกรรมการ ซึ่งจากเดิมที่ MAJOR ส่งคนเข้าร่วมบริหารใน บริษัท แปซิฟิก มาร์เก็ตติ้งฯ ภายหลังจากที่บริษัทกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็จะส่งกรรมการเข้าไปบริหารเพิ่มอีก 4 ท่าน คือเดิมมีนายแพททริค จอห์น ลีโอนี เพียงราย เดียว ได้เพิ่มนายวิชา พูลวรลักษณ์ นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ นายไบรอัน ฮอลล์ และนายเจอรัลด์ วีทิพยวาน

นอกจากนี้ จากการที่บริษัทได้ทำการแลกหุ้นกับ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (EGV) ก็ยังจะทำให้บริษัทได้รับส่วนแบ่งจากเงินปันผลในการลงทุนในบริษัทดังกล่าว ด้วย จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มรายได้เข้ามายังบริษัทอีกช่องทางหนึ่ง

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า การซื้อกิจการแปซิฟิก มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผู้ประกอบการนำเข้า และจัดจำหน่ายภาพยนตร์ จำนวน 1.2 ล้านหุ้น มูลค่า 80 ล้านบาท ถือหุ้น 80% โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายธุรกิจที่ใกล้เคียง เกี่ยวเนื่อง และเสริมกับธุรกิจที่ทำอยู่ ในปัจจุบัน โดยสามารถที่จะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต ซึ่งแปซิฟิก มาร์เก็ตติ้งฯ จะช่วยขยายฐานธุรกิจ ให้กว้างขึ้น พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ให้มั่นคง โดยเฉพาะแนวโน้มอุตสาหกรรมโฮมวิดีโอที่ ขยายตัวต่อเนื่องตามความนิยมของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ DVD ที่เชื่อว่าจะเติบโตถึง 50% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกได้ขณะนี้ว่าคุ้มหรือไม่ ซึ่งต้องดูต่อไปว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร แต่ในเบื้องต้นเชื่อว่า MAJOR ได้รับประโยชน์แน่นอน หาก MAJOR เข้าเจาะกลุ่มธุรกิจโฮมวิดีโอจะส่งผลดีให้รายได้เพิ่มขึ้น เพราะถือเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ใหม่ ปัจจุบันรายได้ของ MAJOR มาจากโรงภาพยนตร์ 68% โบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ 21% ให้เช่าพื้นที่ 12 % และการโฆษณา 9%

แนวโน้มอุตสาหกรรมโฮมวิดีโอ คาดว่าจะเติบโตและขยายตัวต่อเนื่องจากความนิยมของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ DVD ที่เชื่อว่าจะเติบโตถึง 50% ในปีนี้ เนื่องจากสินค้ามีคุณภาพ ประกอบกับราคาสินค้า และเครื่องเล่น DVD มีการ ปรับลดลง หากเทียบกับ VCD แต่เชื่อว่า VCD จะโตถึง 10 - 15% ในปีหน้า สวนทางกับ VDO ที่เริ่มไม่ได้รับความนิยมและอาจหายไปจากตลาด หลังจาก DVD และ VCD บุกตลาดมากขึ้น แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อหุ้น MAJOR ประเมินราคาที่เหมาะสมที่ 22 บาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.