|
บอร์ดวายุภักษ์ไฟเขียวลุยหุ้นเพิ่มกองทุนชี้ฝรั่งสนพีอีตลาดไทยต่ำสุด
ผู้จัดการรายวัน(2 กันยายน 2547)
กลับสู่หน้าหลัก
วายุภักษ์ อนุมัติเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้น รสก. 26 ตัว เว้น "ปตท.-ไทยพาณิชย์" ลงเต็มลิมิตแล้ว เผยยอดลงทุนวายุภักษ์ในตลาดหุ้นมีกว่า 1.2 หมื่นล้านบาทจากพอร์ตรวม 3 หมื่นล้าน เหตุหุ้นราคาถูก ปัจจัยพื้นฐานดี ค่ายธนชาติชี้พีอีหุ้นไทยต่ำเมื่อเทียบตลาดชั้นนำในโลก แนวโน้มต่างชาติกลับไทยมีสูงแล้ว ด้านประธาน ตลท.มองหุ้นครึ่งปoหลังยังคึกคักได้ ประสานตลาดอาเซียนจัดระเบียบกฎตลาดหุ้นรองรับจดทะเบียนข้ามชาติ
นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ได้ มีมติให้กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เข้า ไปลงทุนในหุ้นรัฐวิสาหกิจทั้ง 26 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันได้มีการเข้าไปลงทุนแล้วประมาณ 12,000 ล้านบาทจากทั้งหมดที่สามารถลงทุนได้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาถือว่าผลประกอบการของหุ้นรัฐวิสาหกิจในไตรมาส 2 มีผลประกอบการที่ดี นอกจากนี้หุ้นยังมีพื้นฐานดีและราคาถูก
"การปรับกลยุทธ์การลงทุนของวายุภักษ์มีการประชุมกันทุกเดือนอยู่แล้ว เมื่อตอนนี้มีของดีราคาถูกเราก็ต้องเข้าไปซื้อเพิ่ม โดยยังคงไปลงทุนในหุ้นรัฐวิสาหกิจทั้ง 26 ตัวเหมือนเดิม แต่หุ้นของ ปตท. และธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ไม่สามารถเข้าไปซื้อได้แล้ว เพราะซื้อไปเต็มลิมิตแล้ว ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการปรับแผนที่จะเข้า ไปลงทุนนอกเหนือจากหุ้นรัฐวิสาหกิจทั้ง 26 ตัวที่มีอยู่ แต่ถ้าในอนาคตมีรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดเพิ่มขึ้น วายุภักษ์ก็สามารถเข้าไปลงทุนได้อีก" นายโอฬาร กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่กองทุนวายุภักษ์เข้าไปถือหุ้นใน SCB เกินเพดาน 5% ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กำหนด ไว้นั้น ในขณะนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้นคือให้นำหุ้นสัดส่วนที่ถือเกิน 19% จากทั้งหมด 24% ในธนาคารไทยพาณิชย์ไปให้กระทรวงการคลังรับปันผลแทนทุกปี ซึ่งในระยะยาวจะต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง โดยจะนำหุ้นส่วนที่เกินอยู่ 19% แลกกับหุ้นรัฐวิสาหกิจตัวใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการจ่ายปันผลยังยืนยันตามนโยบายเดิมคือกองทุนรวมวายุภักษ์จะมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี โดยจะจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง ซึ่งในขณะนี้กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี ส่วนเอ็นเอวีของกองทุนวายุภักษ์ 1 ในกลุ่ม ก. จำนวน 70,000 ล้านบาทนั้นยังไม่ตกอยู่ในระดับค่อนข้างดี
นายโอฬาร ยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องอัตราการจ้างงานขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่ภาคการส่งออกและการลงทุนยังคงขยายตัวได้ และทั้งปีดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบว่ามีสัญญาณอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดการชะลอตัวลงแต่อย่างใด
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 70% ซึ่งถือว่าเต็มแล้ว ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ต้อง ขยายกำลังการผลิตมากขึ้น ดังนั้นการลงทุนเกิดใหม่จึงมีมากขึ้น เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจจะมีอัตราการเติบโตจากการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นจะเป็นสัญญาณที่ดีในการปรับโครงสร้างดอกเบี้ยของไทยเพื่อป้องกันเงินไหลออกได้
"จริงๆ แล้วสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่กลัวกัน ดีกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำเพราะดูได้จากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีการเติบโต 4% ขณะที่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีการเติบโตเพียง 1% เท่านั้น จึงแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังดี"
จึงเชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้ตลาดหุ้นจะคึกคักน่าสนใจถึงแม้จะมีปัจจัยน้ำมันกดดันตลาดอยู่ก็ตาม เพราะหากพิจารณาถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็มีอัตราการเติบโตกว่าที่คาดไว้ 29% ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิจำนวน 1.9 แสนล้านบาท อีกทั้งเชื่อว่าตลาดหุ้นจอง (ไอพีโอ)จะเข้าระดมทุนจำนวนมากประกอบการเลือกตั้งก็จะช่วยกระตุ้นการลงทุนให้มีความคึกคักแต่คงไม่มากเพราะประชาชนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะไม่มีการเปลี่ยน แปลงมากนักทั้งนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดำเนินงาน
ส่วนที่ผ่านมา ตลท.ได้เดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งได้มีการหารือกับคณะกรรมการตลาดทุนอาเซียนถึงการประสานงานเพื่อจัดทำกฎระเบียบแต่ละตลาดหุ้นให้มีความสอดคล้องกันเนื่องจากจะเป็นการรองรับการจดทะเบียนข้ามชาติ (Cross Listing) ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยกับตลาดหลักทรัพย์เอเชียเพื่อสอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการพัฒนาตลาดทุนให้เกิดขึ้น ถึงแม้ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถดำเนินการได้ก็ตาม
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.ธนชาติ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับลดลงของดัชนีและมูลค่าการซื้อขายเพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้ง ไทย และต่างชาติยังไม่แน่ใจมากนัก แต่ขณะนี้ปัจจัยหลายอย่างเริ่มชัดเจนมากขึ้น ระดับราคาน้ำมันก็เริ่มมีการปรับลดลง ความกังวลในเรื่องสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ลดลงมาก เป็นต้น ทำให้เห็นได้ว่าบรรยากาศการลงทุนที่ดีน่าจะกลับเข้ามาอีกครั้ง แม้ยังเหลือปัจจัยที่กระทบต่อบรรยากาศบ้าง
"เรื่อง GDP ที่ปรับลดจากระดับ 7.1% มาที่ระดับ 6.7% และดอกเบี้ยคงไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะนักลงทุนเริ่มได้รับข่าวดีจากเรื่องงาน Thailand Focus ที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้าจะเป็นสิ่งที่เข้ามากระตุ้นภาคการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อีกครั้ง"
นายกำพล กล่าวว่า เมื่อดูค่าพีอีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ต่ำที่สุดเมื่อ เทียบกับตลาดหุ้นชั้นนำในยุโรปและเอเชีย โอกาสที่กองทุนต่างประเทศจะกลับเข้าลงทุนในหุ้นไทยก็เริ่มจะมีทิศทางเป็นไปได้สูงแล้ว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|