MBA ถูกท้าทาย?

โดย สมศักดิ์ ดำรงสุนทรชัย
นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

หากเป็นช่วงทศวรรษที่แล้ว ปริญญา MBA อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้คนกาวขึ้นสู่ การมีหน้าที่การงานและเงินเดือนสูง แต่สำหรับบริบทปัจจุบัน business school แต่ละแห่ง กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ และ MBA อาจเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ไม่มีความสำคัญมากนัก

การเติบโตขึ้นของธุรกิจ dot com ในช่วงที่ผ่านมา สร้างผลสะเทือนต่อสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตำรา เรียนจำนวนไม่น้อยถูกเบียดตกชั้น จำนวนผู้ประสงค์จะสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับ MBA ที่มหาวิทยาลัย Standford และมหาวิทยาลัย แห่งแคลิฟอร์เนีย Berkeley ซึ่งล้วนแต่เป็นที่มั่นของธุรกิจ dot com ลดลงมากกว่า 20% นับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา

ขณะที่การสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจชั้นนำ 25 แห่งก็อยู่ในระดับที่ลดลงกว่าร้อยละ 7 ในช่วงปีที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้วิทยาลัยธุรกิจ (Business School) แต่ละสำนักจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ใหม่ ซึ่งกรณีดังกล่าว ดำเนินไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น แม้มหาวิทยาลัย ชั้นนำระดับโลกทั้ง Harvard และ Standford ซึ่งต่างเคยเป็นที่หมายปองของนักศึกษามาอย่างเนิ่นนาน ก็เผชิญกับการท้าทายใหม่ๆ เช่นกัน

แม้ว่ามหาวิทยาลัยบนฝั่งฟากของ ภาคพื้นยุโรปจะมีขนาดเล็ก แต่นักศึกษา จำนวนไม่น้อยได้เพิ่มความสนใจที่จะศึกษา ในวิทยาลัยบริหารธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น และ กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดแนวโน้ม ใหม่ในตลาดการศึกษา MBA ในปัจจุบัน

ประการแรก นักศึกษาระดับหัวกะทิ ที่มุ่งหมายจะเรียนในหลักสูตรเต็มเวลา สนใจ ที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรนานาชาติ และแสวง หาประสบการณ์ในระดับโลกมากขึ้น ประการ ที่สอง หลักสูตร MBA แบบเต็มเวลา 2 ปี ซึ่ง เป็นรูปแบบที่มีรากฐานมาจากสหรัฐอเมริกา และเป็นที่นิยมมากในช่วงที่ผ่านมา กำลัง ถูกแทนที่ด้วยหลักสูตรเข้มข้น 1 ปี ซึ่งเป็น รูปแบบที่พัฒนาขึ้นในยุโรป

การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลน ติก จากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาศึกษาต่อใน B-school ของยุโรป กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น INSEAD ในฝรั่งเศส หรือ IMD ในสวิตเซอร์แลนด์ ต่างมีผู้สมัครจากสหรัฐ อเมริกาเข้ามาเป็นสัดส่วนที่มากเป็นประวัติ การณ์ ขณะที่การจัดหลักสูตรดูงานและทัศนศึกษาในยุโรป โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจ จากสหรัฐอเมริกา ก็เกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มความ ต้องการของนักศึกษาในอีกมิติหนึ่ง

การปรับตัวของมหาวิทยาลัยด้านการบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ที่เป็นรูปธรรมประการหนึ่ง อยู่ที่ความพยายามในการขยายเครือข่ายไปยังภูมิภาคอื่น ทั้งการเปิดวิทยาเขตในย่านเอเชียแปซิฟิก และการผสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในยุโรป เพื่อแลกเปลี่ยนหลักสูตรและนักศึกษา อาจารย์ ให้สามารถเรียนรู้กระบวนการโลกา ภิวัฒน์ของธุรกิจได้อย่างจริงจัง

นอกจากนี้ การขยายตัวของเทคโน โลยีสารสนเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่น้อยต่อรูปแบบการเรียนการสอนในระดับ MBA วิชาพื้นฐานจำนวนไม่น้อยได้รับการบรรจุให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จากระบบการเรียนทางไกล แต่ดูเหมือนว่าช่องทางดังกล่าวจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำยิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่วิทยาลัยระดับรองๆ ยังไม่สามารถแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้มากนัก

กระนั้นก็ดี Landis Gabel ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA ของ INSEAD เชื่อว่า ประโยชน์ของหลักสูตรออนไลน์ เป็นเพียงการ ลดภาระสำหรับการเรียนวิชาพื้นฐาน และทำให้หลักสูตร 1 ปีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น "แต่สิ่งที่ศิษย์เก่าแต่ละรายกล่าวถึงในงานชุมนุม มิได้เกี่ยวกับความรู้ที่ได้จากวิชาการตลาดหรือวิชาการเงิน หรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์ผู้สอน สิ่งที่พวกเขาพูดถึงคือประสบ การณ์ที่วิทยาลัยได้ให้ และเครือข่ายที่กว้างขวาง"

ประเด็นดังกล่าวได้รับการเน้นย้ำโดย ผู้บริหารหลักสูตร MBA ในเกือบทุกสถาบัน Robert Hamada อดีตคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยชิคาโก กล่าว ไว้ครั้งหนึ่งว่า การฝึกงานภาคฤดูร้อนในหลัก สูตร MBA กลายเป็นประสบการณ์แห่งชีวิต "ลองคิดดูว่าจะมีโอกาสใดอีกที่วาณิชธนกร ชั้นนำ 15 คนมาบรรยายและสัมภาษณ์คุณ"

ขณะที่ Kim Clark คณบดีจาก Ha-vard ย้ำว่า นักศึกษาที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ชั้นนำ ก็คือผู้คนที่มุ่งหมายจะแสวงโอกาส ในการสร้างพื้นฐานและความสัมพันธ์ ซึ่งจะ เกื้อหนุนให้พวกเขาสามารถกระทำสิ่งที่น่า จดจำในช่วงชีวิต

สิ่งที่ผู้บริหารวิทยาลัยธุรกิจเหล่านี้ กล่าวถึง กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการ พิจารณาอันดับวิทยาลัยธุรกิจของสำนักต่างๆ ที่มุ่งประเมินไปที่รายได้และโอกาสในการได้ รับการจ้างงานในตำแหน่งสูงๆ ของบรรดา ศิษย์เก่าทั้งหลาย ซึ่งสอดคล้องกับแรง ปรารถนาของผู้คนที่สนใจเรียน MBA ที่ต่าง ให้ความสนใจกับจำนวนเม็ดเงินที่จะได้กลับ คืนจากการลงทุนเรียน MBA ของพวกเขา

ในการจัดอันดับของ Financial Time ซึ่งกระทำโดยการออกแบบสอบถามถึงศิษย์เก่าจากวิทยาลัยบริหารธุรกิจทั่วโลกรวม 137 แห่ง จำนวน 20,700 ชุดและมีผู้ตอบกลับมารวม 5,918 ชุด หรือคิดเป็นสัดส่วนการตอบรับที่ 28.6% นั้น ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเงินเดือน และการจ้างงานมีน้ำหนักมากถึง 55% ของการประเมินข้อมูลทั้งหมด

ขณะที่ผลงานวิจัยมิติระหว่างประเทศ และกรณีว่าด้วยสถานภาพสตรีในคณะกรรมการบริหารของวิทยาลัย และจำนวนนักศึกษาสตรี เป็นส่วนเสริมสำหรับการประเมินความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการ และการตอบสนองต่อสถานการณ์ระดับโลกด้วย

สำหรับการจัดอันดับวิทยาลัยธุรกิจ ที่กระทำโดย US News ซึ่งมีจุดเน้นอยู่ที่สถาบัน การศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักนั้น ให้น้ำหนักกับชื่อเสียงและหลักสูตรของ สถาบันแต่ละแห่ง โดยมีน้ำหนักการพิจารณา 40% ขณะที่อัตราเงินเดือนหลังสำเร็จการ ศึกษาและการจ้างงานมีสัดส่วน 35% สำหรับ อีก 25% เป็นการประเมินจากสัดส่วนคะแนน GMAT และ GPA ของผู้สมัครเข้าเรียนควบคู่ กับสัดส่วนการแข่งขันของผู้สมัครต่อจำนวน ที่สถาบันแต่ละแห่งสามารถรับได้เป็นเกณฑ์การประเมิน

แม้ว่า Financial Time และ US News จะกำหนดวิธีและปัจจัยในการจัดอันดับแตก ต่างกันพอสมควร แต่ข้อน่าสังเกตที่มีความน่าสนใจมากประการหนึ่ง ก็คือวิทยาลัยธุรกิจ ที่เป็นกลุ่มนำในลำดับที่ 1-10 นั้นมีความแตก ต่างกันน้อยมาก และหากพิจารณาย้อนหลังกลับไปก็พบว่า วิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้สามารถ รักษาสถานภาพในการจัดอันดับดังกล่าวนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยมีการเปลี่ยนแปลง น้อยมากเช่นกัน

มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ยังคงสามารถยึดกุมอันดับ 1-5 ของวิทยาลัย ธุรกิจชั้นนำของโลกไว้ได้อย่างมั่นคง โดย INSEAD และ London Business School สถาบัน การศึกษาจากยุโรปมีอันดับดีที่สุดเพียงอันดับที่ 7 และ 8 เท่านั้น

หากประเมินเพียงผิวเผิน อันดับที่ใกล้เคียงกันของสถาบันแต่ละแห่งอาจปราศ จากนัยสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดจะพบว่า การก้าวสู่อันดับหนึ่งของ Wharton เกิดขึ้นจากองค์ประกอบที่น่าสนใจ สองประการ กล่าวคือการมีนักศึกษานานา ชาติเพิ่มขึ้นกว่า 46% ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความร่วมมือกับ INSEAD และการขยายวิทยาเขตไปยัง San Francisco และการขยายหลักสูตรบริหารธุรกิจไปสู่ระดับปริญญาเอก โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับนี้ถึง 39 ราย ขณะที่ Harvard มีเพียง 9 รายเท่านั้น

นอกเหนือจากการจัดอันดับวิทยาลัย ธุรกิจดังกล่าวแล้ว จุดน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับแวดวงการศึกษาระดับ MBA อยู่ที่แนวโน้มของการหดตัวลงในจำนวนผู้สมัครเข้าเรียน ซึ่งจากการวิจัยของ General Management Admissions Council ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า 46% ของวิทยาลัยธุรกิจทั่วโลกมี ผู้สมัครเข้าเรียนในหลักสูตรเต็มเวลาลดลง

แต่นั่นย่อมมิได้หมายถึงการสิ้นสุดลงของหลักสูตร MBA แต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มิได้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความตระหนักรู้ของผู้บริหารหลักสูตรหรือสถานศึกษา หลักสูตรใหม่ๆ ถูกเร่งผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลักสูตร MBA สำหรับผู้บริหารหรือ execu-tive MBA ที่มีอัตราค่าเรียนที่สูงมากในระดับ 1 แสนเหรียญสหรัฐ

แนวโน้มของการผนึกผสานความร่วม มือของมหาวิทยาลัยที่อยู่ต่างภูมิภาคควบคู่กับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลให้หลักสูตร Global Executive MBA ได้รับการเสนอเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้นและ กำลังทำให้ตลาดการศึกษาสำหรับผู้บริหารมีสัดส่วนและน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น

ปัญหาอยู่ที่ว่า นับจากนี้สถานศึกษาแต่ละแห่งจะผลักดันหลักสูตร MBA ลักษณะ ใดออกมาเป็นสินค้าตัวใหม่อีก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.