ค่ายแบตเตอรี่เดินหน้าลงทุนเพิ่มขยายกำลังผลิต-ลุยโซลาร์เซลล์


ผู้จัดการรายวัน(30 สิงหาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

YUASA-BAT-3K เดินหน้าขยายกำลังการผลิตรองรับตลาดรถยนต์-แมงกะไซค์ โตก้าวกระโดด รองรับนโยบายรัฐบาลที่เร่งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ผลิตยานยนต์ในภูมิภาคนี้ หรือ ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย โดย YUASA เตรียมลงทุนเพิ่มอีก 100 ล้านบาท ภายในปีนี้เพื่อขยายไลน์การผลิต ขณะที่ BAT-3K ลงทุนไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ตั้งงบลงทุนในระยะยาวสูงถึง 1 พันล้านบาท พร้อมเจาะตลาดพลังงานทดแทน ผลิตแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ป้อน "โครงการไฟฟ้าเอื้ออาทร" ที่เตรียมเปิดประมูลอีกรอบในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายศุภวัส พันธุ์วัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (YUASA)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบลงทุนในการขยายไลน์ผลิตแบตเตอรี่เพิ่มจำนวน 100 ล้านบาทในปีนี้ โดยได้สั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มจำนวน 60 ล้านบาท ไปแล้วเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแบตเตอรี่รองรับความต้องการของตลาด ที่หลายฝ่ายประเมิน ว่าในปีละ 2547-2548 ตลาดรถยนต์จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 20-30% ซึ่งทำให้ความต้องการแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ก็มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็นดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย

สำหรับแผนในระยะ 3 ปี ของบริษัท หลังการลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่มจะทำให้สามารถขยายกำลังการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์จากเดิมปี 1.6 ล้านลูก เพิ่มเป็น 1.6-1.8 ล้านลูก ขณะที่แบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ จะเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 2 แสนลูก เป็น 2.5 แสนลูก

ส่วนความคืบหน้าในการส่งมอบแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ให้แก่โครงการไฟฟ้าเอื้ออาทรของรัฐบาล ซึ่งบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจำนวน 53,000 ลูก หรือคิดเป็นเงิน 107 ล้านบาท จากบริษัท อคิวเม้นท์ จำกัด และ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด ผู้ชนะการประมูลงานจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ให้ทุกหมู่บ้านที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงมีไฟฟ้าและเพื่อเป็นทางเลือกในการใช้พลังงาน ขณะนี้เริ่มทยอยส่งมอบแล้ว โดยบริษัทมีการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย 6-7 พันลูกต่อเดือน

สำหรับโครงการไฟฟ้าเอื้ออาทรของรัฐบาลที่มีการเปิดประมูลก่อนหน้ามีจำนวนทั้งสิ้น 153,000 ลูก และในปีงบประมาณ 2548 เตรียมเปิดประมูลอีกประมาณ 3 แสนลูก ซึ่งจะเริ่มเปิดประมูลในเดือนตุลาคมนี้

"เราคาดว่าการเปิดประมูลรอบใหม่ เราน่าจะได้รับส่วนแบ่งประมาณ 1 แสนลูก ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทเป็นจำนวน 200 กว่าล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมหารือกับภาครัฐเพื่อขอเพิ่มราคาแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์จากเดิมที่ประมูลเฉลี่ยที่ 2,000-2,200 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนตะกั่วปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมเมื่อต้นปี 2546 ราคาตะกั่วอยู่ที่ 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขยับขึ้นเป็น 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เมื่อต้นปี 2547 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 63% ทำให้ต้องปรับราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่ม

ทั้งนี้ YUASA ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ แบตเตอรี่ Super Star ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิด Maintenance Free เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่วนแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ เป็นรุ่น EB 130

"ในส่วนของแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ เราเตรียมบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้าได้มีการเจราจากับคู่ค้าในประเทศพม่า และกัมพูชาแล้วซึ่งสนใจที่จะขาย สินค้าดังกล่าว เนื่องจากบางส่วนไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ทั่วถึง"

รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย กล่าวอีกว่า รายได้รวมของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.2 พันล้านบาท หรือเพิ่มประมาณ 7-8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคาแบตเตอรี่แล้ว 2-3 ครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับราคาตะกั่วที่เพิ่มขึ้น โดยขึ้นเฉลี่ยครั้งละ 6% หรือคิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-18%

นางสาววีรวรรณ ขอไพบูลย์ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) (BAT-3K) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้ลงทุนซื้อเครื่องและที่ดินเพิ่มเพื่อขยายไลน์การผลิตไปแล้ว 200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตจากเดิม 2.2 แสนลูกต่อเดือน เป็น 3 แสนลูกต่อเดือน ตามแผนระยะยาวที่ตั้งไว้จำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตรองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ และจักรยานยนต์ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับการผลิตแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์เพื่อป้อนโครงการไฟฟ้าเอื้ออาทร ในโครงการระยะแรก BAT-3K ได้รับคำสั่งซื้อจำนวน 77,669 ลูก หรือคิดเป็น 51% ของคำสั่งซื้อทั้งหมด 153,000 ลูก ผ่านพันธมิตร 3 ราย ได้แก่ โซลาร์ตรอน,เอส พี เซ็กโก้ และกิจการค้าร่วมระหว่างบริษัทเพา-เวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไฮโดรเอ็นจิเนียริ่ง

ทั้งนี้ BAT-3K ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกของประเทศที่เริ่มผลิตแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ตั้งแต่ปี 2544 โดยช่วงแรกส่งออกไปยังญี่ปุ่นเป็นหลัก

"เราเตรียมเจาะตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการสูง จากเดิมที่ตลาดส่งออกเดิมอยู่ที่ญี่ปุ่น และแอฟริกา"

นางสาววีรวรรณ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และในครึ่งหลังของปีนี้คาดว่ายอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีกำไรสุทธิ 40.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.23 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 32.01 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.