"ปูนซิเมนต์ไทย" ขอเป็นเบอร์1 ในอาเซียนปั้นคนคิดนอกกรอบ-ลั่นพร้อมลงทุนตปท.


ผู้จัดการรายวัน(20 สิงหาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"ปูนซิเมนต์ไทย" ประกาศความพร้อมขึ้นสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม "ชุมพล ณ ลำเลียง" กรรมการผู้จัดการใหญ่ หนุนพนักงาน "คิดนอกกรอบ" หวังผลักดันให้ "เครือซิเมนต์ไทย" ก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคอาเซียน เผยพร้อมลงทุนต่างประเทศ หากต้นทุนการดำเนินธุรกิจต่ำกว่า เนื่องจากมีความพร้อมในเรื่องของเม็ดเงิน ระบุการเปิดเขตเสรีการค้าระหว่างไทย-คู่ค้า เป็นตัวจุดชนวนให้อาฟตาเร่งลดภาษี

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่สนง.ใหญ่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ได้มีการเปิดงาน Innovation: Change for better tomorrow เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พนักงานบริษัทในเครือตื่นตัวกับกระแสโลกาภิวัตน์ และกระตุ้นให้พนักงานกล้าคิดนอกกรอบ โดยมีการถ่ายทอดสดสัญญาณผ่านดาวเทียมไปถึงบริษัทในเครือที่จัดงานดังกล่าวพร้อมๆกันไม่ว่าจะเป็น ท่าหลวง หนองแค ราชบุรี ทุ่งสง และระยอง โดยมีการจัดคอนเสิร์ต และโชว์ผลงานที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและพัฒนาของพนักงาน โดยที่สนง.ใหญ่มีวงไมโครแสดงให้พนักงานได้รับชม ส่วนที่ต่างจังหวัดมีวงแท็กซี่,เจเน็ต เขียว, กะลา,ไท ธนาวุฒิ และมิสเตอร์ ทีม ซึ่งเป็นวงดนตรีชั้นนำในกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของปูนซิเมนต์ไทย ในการปลุกกระแสให้พนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับการกล้าคิด กล้าทำ ในสิ่งใหม่ เพื่อให้ก้าวทันกับกระแสโลก

นายชุมพล ณ ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) กล่าวในการเปิดงานว่า นโยบายสำคัญของเครือซิเมนต์ไทย จะให้ความสำคัญกับความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ที่พนักงานต้องกล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และต้องการเห็นการแสดงพลังความคิดสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลง เปิดใจ คิดใหม่ ใฝ่รู้ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การก้าวเป็นองค์กรชั้นนำในระดับภูมิภาค

นายกานต์ ตระกูลฮุน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประกาศจุดยืนครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบริษัทและบริษัทในเครือ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับปรุงและส่งเสริมให้พนักงานกล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ เนื่องจากในอนาคตนวัตกรรม และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ถือว่ามีส่วนสำคัญในการผลักดันองค์กรเป็นอย่างมาก

"ตอนนี้เรามีความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน และมีธุรกิจหลายธุรกิจที่ขณะนี้เราเข้าสู่การเป็นผู้นำแล้ว แต่ก็มีบางธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"

นายกานต์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลทำการเจรจาเปิดเสรีการค้า (FTA) กับหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือออสเตรีย ในจุดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากการทำ FTA จะเป็นตัวกดดันที่ทำให้การเจรจาลดภาษีต่าง ๆ ในกรอบของ AFTA มีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการโยกย้ายฐานการผลิต ซึ่งเห็นได้ในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ที่รัฐบาลประกาศจุดยืนที่จะให้ประเทศไทยเป็น ดีทรอยต์แห่งเอเชีย ก็มีการย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่นเข้ามาในไทยมากขึ้น เนื่องจากมีความได้เปรียบของต้นทุนในการดำเนินงาน

"บริษัทพร้อมที่จะขยายการลงทุนในต่างประเทศ เพราะเรามีเม็ดเงินเพียงพอสำหรับการลงทุน หากต้นทุนการดำเนินงานต่ำกว่า และได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี แต่คนของเรา นวัตกรรมใหม่ๆ ของเรา ต้องมีความพร้อม ซึ่งจุดนี้จึงทำให้มีการจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญกับกระแสการเปลี่ยนแปลง"

นายกานต์กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทและบริษัทในเครือมีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด เห็นได้จากในช่วงหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทได้มีการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทออก และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบการทำงานของธุรกิจหลัก โดยในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อปี 2541 มีการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักไปกว่า 57 แห่ง

ส่วนการเข้าไปบุกตลาดอาเซียนของบริษัทและบริษัทในเครือ ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มีโอกาส เนื่องจากตลาดในภูมิภาคอาเซียนถือว่ามีขนาดใหญ่มาก มีประชากรในสัดส่วนสูง ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในภูมิภาคอาเซียนขยายตัวสูงถึง 5% ขณะที่จีนเองก็คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 8% ทำให้มีช่องว่างในการที่จะขยายตลาดเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น การใช้ปูนซีเมนต์ของคนในอาเซียน เมื่อคิดต่อหัวแล้วถือว่าต่ำมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300 กิโลกรัมต่อหัวเท่านั้น

นายกานต์กล่าวถึงความพร้อมในแง่ของเงินลงทุนว่า บริษัทและบริษัทในเครือมีความพร้อมในเรื่องของเงินลงทุน เนื่องจากผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง ดังนั้นข้อจำกัดด้านเม็ดเงินถือว่ามีน้อยมาก แต่สิ่งสำคัญหากเข้าไปลงทุนต้องได้รับประโยชน์ในเรื่องของต้นทุนที่ถูกกว่า และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ในไตรมาส 2 ของปี 2547 เพิ่มขึ้นกว่า 118% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการที่ดีของธุรกิจปิโตรเคมี โดยไตรมาส 2 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ เท่ากับ 7,660 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ เท่ากับ 14,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรสุทธิ เท่ากับ 15,097 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจปิโตรเคมี โดยยอดขายสุทธิของเครือในช่วงครึ่งปีแรก เท่ากับ 89,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายกานต์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทในเครือเพิ่มขึ้นประมาณ 5% แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายที่จะขึ้นราคาสินค้า แต่พยายามปรับตัวด้วยการลดต้นทุนการดำเนิน งานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหันมาพึ่งพลังงานทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้มีการใช้พลังงานธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งหมด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.