แม้ว่าบริษัทสมิทไคล์น บีแชม อินเตอร์เนชั่นแนล (เอสบี) มีการผลิตยารักษาโรคออกมาหลายชนิด/ประเภท
แต่ผลิตภัณฑ์ยาที่บริษัทมีความรอบรู้ชำนาญและสร้างชื่อเสียงให้บริษัทอย่างมาก
คือวัคซีน โดยวัคซีนตัวแรกที่บริษัทเริ่มผลิตเมื่อปี ค.ศ. 1956 คือวัคซีนป้องกันโปลิโอ
ซึ่งตอนนี้บริษัทก็เป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่จำนวน 2 ใน 3 ของวัคซีนโปลิโอทั้งหมดเพื่อป้อนตลาดโลก
และมาในปี 1997 นี้ เอสบีก็ได้นำวัคซีนรวม ที่สามารถใช้สร้างภูมิต้านทานโรคระบาดร้ายแรงแก่เด็กทารกถึง
4 โรคในเข็มเดียว เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย หลังจากใช้เวลาทดลองและติดตามผลจนผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา
หรือ อย.แล้ว ทั้งนี้โรคระบาดทั้ง 4 คือ โรคไวรัสตับอักเสบ "บี",
คอตีบ, ไอกรน และบาดทะยัก ซึ่งวัคซีนตัวนี้มีชื่อว่า ไตรตันริกซ์-เอชบี หรือ
Tritanrix-HB
มร.ฌอง สเตฟเฟนน์ รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไป บริษัทสมิทไคล์น
บีแชม ไบโอโลจิคัลส์ ซึ่งเดินทางมาสำรวจตลาดเอเชียในไทย เปิดเผยว่า ไตรตันริกซ์-เอชบี
เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาของเอสบี ไบโอโลจิคัลส์ ซึ่งผ่านการทดสอบทางคลีนิกว่า
มีประสิทธิผลพร้อมความปลอดภัยสำหรับเด็กทารก และเป็นวัคซีนรวม จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการแยกให้วัคซีนครั้งละ
2 เข็ม โดยปัจจุบันมีใช้แล้วในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งในยุโรปและเอเชีย
เอสบีมียอดขายในทั่วโลกประมาณ 7 พันล้านปอนด์เมื่อปี 1995 และเพิ่มเป็น
7.9 พันล้านปอนด์เมื่อปี 1996 โดยยอดขายเฉพาะวัคซีนอย่างเดียวนั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ
1 พันล้านปอนด์ ศูนย์กลางการผลิตวัคซีนของเอสบีตั้งอยู่ที่ประเทศเบลเยียม
และมีการขยายกิจการเข้ามาร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตวัคซีนในจีนและอินเดียด้วย
สำหรับในประเทศไทยนั้น เอสบีก็เป็นผู้นำในตลาดวัคซีน มร.เจฟฟรี่ย์ เบลี่
กรรมการผู้จัดการ บริษัทสมิทไคล์น บีแชม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดวัคซีนในไทยได้ 30% และในปี
2540 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varilrix) เข้ามาทำตลาด
เพียงแค่ 8 เดือน บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถทำยอดขายได้ถึง 100,000
โดส ธุรกิจวัคซีนในปีที่ผ่านมาเป็นตัวผลักดันผลดำเนินงานของเอสบีในประเทศไทยอย่างมาก
บริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขาย (ผลิตภัณฑ์ยา) ประมาณ 35% ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่ดี
ชนิดสวนกระแสความตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศ
แผนดำเนินงานในปี 2541 ของบริษัทคงยึดมั่นกับการลงทุนระยะยาว ในตลาดการดูแลรักษาสุขภาพของคนไทยต่อไป
ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่บริษัทริเริ่มโครงการ "พันธะสังคม" หรือ
community partnership ด้วยการมอบทุนการศึกษาแก่นักศึกษาพยาบาลในต่างจังหวัดปีละ
50 คนเป็นเวลา 4 ปี โครงการนี้มีมูลค่า 500,000 ปอนด์สเตอริง หรือ 750,000
เหรียญสหรัฐ ซี่งนักศึกษาเหล่านี้จะกลับไปทำหน้าที่ใช้ทุนในท้องถิ่นบ้านเกิดของตนเมื่อสำเร็จการศึกษา
อนันต์ วิทยศักดิ์พันธุ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส บริษัทสมิทไคล์น บีแชม
อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า "วัคซีนไตรตันริกซ์-เอชบีถูกนำมาศึกษาทดลองที่จังหวัดเชียงราย
ซึ่งเป็นการทำการศึกษาที่ใหญ่มาก ใช้เวลา 4 ปี มีประชากรร่วมถึง 20,000 คน
พบว่า ให้ประสิทธิภาพดีมาก มีความปลอดภัยสูง เป็นที่ชื่นชอบของบุคลากรทางการแพทย์และพ่อแม่เด็ก
นอกจากนี้ในเรื่องราคาจำหน่ายก็มีต้นทุนที่ใกล้เคียงกับวัคชีนแยกเข็ม ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์,
เวลา, และความเจ็บปวดของเด็กที่ถูกฉีดวัคซีนด้วย"
กลุ่มเป้าหมายของวัคซีนตัวนี้คือ พ่อแม่ที่มีลูกในวัย 6 เดือนแรก, และหญิงมีครรภ์
ที่มารับบริการในภาคเอกชนซึ่งสามารถจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อย เพื่อให้ลูกได้วัคซีนรวมและมีการเจ็บตัวน้อยลง
บริษัทฯ คาดว่า จะสามารถทำตลาดวัคซีนตัวนี้ได้ประมาณ 10% ของยอดขายรวมของบริษัทฯ
ในปีนี้ ซึ่งยอดวัคซีนรวมของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 230-250 ล้านบาท
และยอดขายรวมปีที่แล้วคือ 700 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี การปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นแบบลอยตัว ซึ่งมีผลทำให้เงินบาทมีค่าลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญของโลก
ก็ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ พอสมควร ซึ่งบริษัทฯ กำลังศึกษาหาทางออกในเรื่องนี้อยู่
แต่ในเรื่องของการปรับราคาขายสินค้านั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับราคาขายสินค้าไปครั้งหนึ่งแล้ว
โดยการอนุญาตของกรมการค้าภายในเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2540 ประมาณ 5%-15% โดยในตอนนั้น
อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ แต่มาในเวลานี้ อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวต่างไปมาก
บริษัทฯ จึงยังศึกษาเรื่องนี้อยู่ แต่ก็มีความเชื่อมั่นว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น