หุ้นใหม่AMCเทรดวันนี้ไม่หวันตลาดผันผวน


ผู้จัดการรายวัน(13 สิงหาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

ลุ้นระทึก "เอเซีย เมทัล" เข้าเทรดวันนี้ "ผู้บริหาร-ที่ปรึกษาทาง การเงิน" ไม่หวั่นภาวะตลาดผันผวน เชื่อมั่นราคายืนเหนือจอง ชี้ราคาจองที่กำหนด หวังให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างกำไร ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเหล็กแนวโน้มสดใส ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้โต 15-20% ด้านบิ๊กบลจ.ธนชาติ "กำพล" มองดัชนีต่ำ 600 จุดเป็นจังหวะที่กองทุนกลับเข้า ซื้อหุ้นพื้นฐาน มั่นใจเศรษฐกิจขยายตัว

วันนี้ (13 ส.ค.) หุ้นสามัญของบริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ "AMC" จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวม 200 ล้านบาท เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง ภายใต้หมวดวัสดุก่อสร้างและเครื่องตกแต่ง นับเป็นหุ้นที่เข้าซื้อขาย ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนและทรุดตัวหนัก ทั้งนี้ดัชนีตลาด หุ้นไทยเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมาได้ปรับ ตัวลงหลุดระดับ 600 จุด มาปิดที่ 595.60 จุด ลดลง 11.34 จุด

นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเซียเมทัล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่หุ้นของบริษัท เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันนี้ (13 ส.ค.) นี้ คาดว่าจะได้รับความสนใจจาก นักลงทุนถึงแม้ว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจะมีความผันผวน แต่ก็ไม่มีความ กังวล เพราะในช่วงที่กระจายหุ้นนั้นปรากฏว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อ มากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย

"ช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนและลูกค้าของบริษัทหลายรายที่สนใจซื้อหุ้น แต่ไม่ได้รับการจัดสรร เพราะหุ้นเสนอขายหมดแล้ว ดังนั้น จึงได้แนะนำให้ซื้อในกระดานแทน ซึ่งหุ้นบริษัทเอเซียเมทัลนั้นราคาคงจะไม่หวือหวามากนัก แต่เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อุตสาหกรรมเหล็กกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น บริษัทผู้ผลิตเหล็กมีออเดอร์เข้ามาจำนวนมากและในราคาที่ดีอีกด้วย"

นอกจากนี้ราคาจองที่กำหนดไว้ที่ระดับ 3.50 บาทถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม มีค่าพี/อี เรโชประมาณ 10 เท่าเมื่อคำนวณจากผลประกอบการในปี 2546 แต่เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมแล้วถือว่าค่าพี/อีเรโชจะต่ำกว่า

ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 15-20% ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบกับบริษัทได้มีการสร้างโรงงานท่อเหล็กแห่งใหม่ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินหุ้นบริษัทเอเซียเมทัลกล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 600 จุดนั้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทเอเซียเมทัลมากนัก จะมีผลกระทบเพียงในด้านจิตวิทยาเท่านั้น เพราะอาจจะทำให้นักลงทุนยังมีความกังวลอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาจะสูงกว่าราคาจอง เพราะระดับราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 3.50 บาทนั้นถือเป็นระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป และเป็นระดับราคาที่ต้องการให้นักลงทุนได้รับกำไรเมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้บริษัทเอเซียเมทัลยังมีการเติบโตของกำไรที่ดีขึ้น โดยในปี 2546 ทั้งปีมีกำไรสุทธิประมาณ 44 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิแล้ว 32 ล้านบาทซึ่งเกือบจะเท่ากับทั้งปีของปีก่อน ดังนั้น จึงเชื่อว่าการที่ผลประกอบการดีขึ้นจะทำให้ค่าพี/อี เรโชของหุ้นจะลดลงอีก สาเหตุที่ผลประกอบการออกมาดีนั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กมีแนวโน้มที่ดี จะเห็นได้จากหุ้น บริษัทสหวิริยาสตีลที่มีผลประกอบการดีเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ บริษัทเอเซียเมทัล เสนอขายหุ้นต่อประชาชนจำนวน 50 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทโดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในอาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจากการขยายกิจการของบริษัท

ด้านนายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน ธนชาติ จำกัดกล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ของกองทุนต่างๆในช่วงนี้ การปรับลดลงของดัชนีเนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบทั้งในส่วน ของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยที่เข้ามากระทบช่วงต้นปีเรื่องไข้หวัดนก ถือได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่กองทุนหลายกองเริ่มมีความสนใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงได้มาก

แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินสถานการณ์ทุกครั้ง หลายฝ่ายจะมองปัจจัยที่กระทบในช่วงนั้นๆ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็อาจจะทำให้ภาวะการลงทุนอยู่ในช่วงชะงักได้อีกครั้ง

"โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าดัชนีในช่วง 600 จุดหรือต่ำกว่า เป็นช่วงที่กองทุนหลายแห่งจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีอีกครั้ง ซึ่งการมองดังกล่าวอาจจะตรงข้ามกับการลงทุนของรายย่อย ทั้งนี้เพราะหลายครั้งที่นักลงทุนรายย่อยเทขายหุ้นออกกองทุนก็จะเข้าไปซื้อเนื่องจากข้อมูลที่มีมากกว่าการมองภาพการเคลื่อนไหวของราคาจึงอยู่ในช่วงระยะยาว" นายกำพลกล่าว

"เรามองว่าภาคการลงทุนขณะนี้ กำลังการผลิตทั้งระบบของธุรกิจในเมืองไทยมีอยู่ประมาณ 75% ซึ่งขณะนี้กำลังการผลิตเริ่มมีการใช้อย่างเต็มที่ ในภาคการผลิตจึงต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ" นายกำพลกล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.