"ทรีนีตี้" ชี้ไทยแลนด์โฟกัสดันหุ้นขึ้นทีพีไอหลังปรับหนี้หิ้วดัชนีได้12จุด


ผู้จัดการรายวัน(9 สิงหาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"ภควัต" คาดงานใหญ่ "ไทยแลนด์ โฟกัส" หนุนตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นปรับขึ้น แนะอาศัยจังหวะแก้ไขพอร์ตไม่เก็บหุ้นเพิ่ม ด้านฝ่ายวิจัยทรีนีตี้ปลายกันยาได้แรงหนุนจากเงินกองทุน หุ้น 2 หมื่นล้าน ให้จับตาหุ้นโยงการเมืองหลังสถิติก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นขึ้น 3% เผยไทยเสียเปรียบมาเลย์ฝรั่งมองไม่มี NPL ย้อนกลับ ชี้ TPI หิ้วดัชนีขึ้นได้ 11-12 จุดหากปรับหนี้สำเร็จ ส่งผลดีต่อกำไร PTT ปีละ 500 ล้าน "สุกิจ-พัฒนสิน" ระบุน้ำมันเป็นปัจจัยหลักปกคลุมตลาด หุ้นไทยสัปดาห์นี้ดัชนีซึมต่อ แต่ถ้าหลุด 600 จุดกองทุนจะเข้าซื้อพยุง

นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บล.ทรีนีตี้ ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีการจัดงานใหญ่ "ไทยแลนด์ โฟกัส" ซึ่งถือเป็นการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนต่างประเทศที่จัดขึ้นในประเทศเป็นครั้งแรก โดยจะมีกองทุนเข้ามาร่วมรับฟังข้อมูลมากมาย ดังนั้น รัฐบาลจะต้องรักษาภาพของตลาดหลักทรัพย์ให้ดูดีและเป็นที่ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ้นขึ้นในรอบนี้ก็ควรใช้เป็นโอกาสในการแก้ไขพอร์ตของนักลงทุน ไม่ใช่การเข้าเก็บหุ้นเพิ่ม เนื่องจากหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวลดลงอีก และจะเป็นจังหวะของการเข้าซื้อหุ้น

กองทุน 2 หมื่นล้านดันหุ้นก.ย.

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ในระยะสั้นประเมินว่าหุ้นยังเป็นขาขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเป็นขาลงอีกครั้งในช่วงหลังการเลือกตั้ง โดยในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ดัชนียังมีโอกาสจะปรับตัวลดลง ก่อนที่จะมีแนวโน้มขาขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.- ต้นเดือน ก.ย. เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่จะมีเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากกองทุนหุ้นระยะยาวที่มีการจัดตั้งและคาดว่าจะเริ่มเข้ามาลงทุนได้ในปลายเดือนนี้ ประกอบกับการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะออกมาดีมาก และจะดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3

ในขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องเริ่มหยุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มนิ่ง หลังจากมีแรงขายหนักในช่วงที่ KTB ประกาศผลการดำเนินงาน

นอกจากนั้นยังพบว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ของสหรัฐฯเริ่มปรับตัวลดลง หลังจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้อาจมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง

จับตาหุ้นเกี่ยวการเมือง

นายวิศิษฐ์กล่าวต่อว่าให้จับตาดูในส่วนของ หุ้นที่มีความเกี่ยวพันกับนักการเมือง อย่างเช่น TPI TFI ที่อาจจะมีแรงเหวี่ยงก่อนหน้าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น โดยจากสถิติพบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นจะขึ้นประมาณ 3% ส่วนในปีหน้าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะเริ่มแย่ลงอีกครั้งจากสภาพคล่องในระบบที่ปรับตัวลดลง

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนผ่านจุดสูงสุดแล้วในปีนี้ โดยในปีหน้าคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตไม่เกิน 20% หลังจากที่หลายบริษัทจะต้องเริ่มจ่ายภาษี โดยเฉพาะแบงก์และอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากรับบาลมีนโยบายลอยตัวน้ำมัน และต่อไปคาดว่าจะลอยตัวก๊าซหุงต้ม ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยต่อไป

นอกจากนั้น ยังประเมินว่ากระแสการก่อการร้ายจะมีขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และเดือน ม.ค. 2548 ที่จะมีการเลือกตั้งในประเทศอิรัก

ส่วนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้เปรียบเทียบประเทศไทยกับมาเลเซีย จากก่อนหน้านี้ที่เปรียบเทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เนื่องจากมาเลเซีย ไม่มีปัญหา NPL ย้อนกลับ ดังนั้น อาจมีเม็ดเงินที่ไหลไปตลาดมาเลย์มากกว่าไทย และหากปีหน้ารัฐวิสาหกิจยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่า MSCI จะลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยลง "ส่งผลให้ดัชนีไปไหนไม่ได้ไกล"

สำหรับการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี ก็ไม่เป็นผลบวกกับประเทศไทย เนื่องจากหากบุชได้เป็นต่อจะมีแต่ความหวาดผวาในเรื่องของการก่อการร้าย ในขณะที่หากจอห์น ได้รับเลือกก็จะหันไปให้ความสนใจกับประเทศในแถบละตินอเมริกาและเม็กซิโกมากกว่า

นายวิศิษฐ์กล่าวต่อว่า แม้ว่าปีหน้ารัฐบาลมีนโยบายที่จะเปลี่ยนเครื่องมือบริหารการคลังจากการส่งออกเป็นการลงทุนในประเทศ เห็นได้จากงบลงทุนที่ใช้ในการก่อสร้างปีหน้าที่มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปี และเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ยังไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากมีความเสี่ยงมากในเรื่องของกระแสเงินสดที่ใช้ในการดำเนินงาน จึงให้น้ำหนักเพียง แค่เก็งกำไรเท่านั้น โดย บล.ทรีนีตี้ ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มปูนมากกว่า เพราะจะได้ประโยชน์โดยตรงจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่ง จะเห็นว่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงมา 40-50 จุด หุ้นกลุ่มปูนแทบจะไม่ขยับเลย

หลัง TPI ปรับหนี้ส่งผลต่อกำไร PTT ปีละ 500 ล้าน

ทั้งนี้แนะนำหุ้นน่าลงทุนในช่วง 2 เดือนข้าง หน้าซึ่งมองว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด ได้แก่ PTTEP PTT SCC SHIN UCOM TOC LOXLEY SCB BBL TPI TFI และ TRU โดยในส่วนของหุ้น PTT การที่จะนำไทยออยล์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะส่งผลต่อกำไรที่ยังไม่รับรู้ของ PTT ประมาณ 10-12 บาทต่อหุ้น

ในขณะที่การเข้าไปถือหุ้นใน TPI อาจเป็น ข่าวร้ายในระยะสั้น แต่หลังจาก TPI ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จจะส่งผลต่อกำไรของ PTT ปีละกว่า 500 ล้านบาท โดยให้ราคาเป้าหมาย PTT ที่ 190 บาท

นอกจากนั้น ในส่วนของหุ้น BBL จะได้รับประโยชน์จากการปรับหนี้ของ TPI เช่นกัน เนื่องจากจะทำให้ NPL ของ BBL ลดลงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่แบงก์ได้ตั้งสำรองไว้เรียบร้อยแล้ว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 135 บาท

ส่วน TPI เองมีแนวโน้มดีขึ้นหากปรับหนี้เสร็จ ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้น TPI 1 บาท มีผลให้ SET ปรับขึ้นถึง 3 จุด โดยมองราคาเป้าหมายที่ 11 บาท ดังนั้นในอนาคต SET มีโอกาสที่จะปรับขึ้น 11-12 จุดจากการปรับขึ้นของ TPI ตัวเดียว

ด้าน TOC ถือว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปีหน้าอีก 70-80% เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิต โดยให้ราคาเป้าหมาย 75 บาท และหุ้น SHIN ที่ปัจจุบันมี NAV อยู่ที่ 43 บาท แต่หากสามารถนำแอร์ เอเชีย และแคปปิตอล โอเค เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้จะทำให้ NAV เพิ่มขึ้นเป็น 45 บาทต่อหุ้น

พัฒนสินชี้ราคาน้ำมันสูงต่อ

นายสุกิจ อุดมศิริกุล หัวหน้าหน่วยงานกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า จากบทวิเคราะห์ของสำนักวิจัยหลายๆ แห่งมองว่าโอกาส ที่ราคาน้ำมันจะปรับลงไปในระดับ 35 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายในสิ้นปีนี้ได้ เพราะที่ผ่านมากำลังการผลิตน้ำมันโดยรวมยังเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ ตอนนี้ในส่วน ของผู้ค้าน้ำมันใหญ่ OPEC ใช้กำลังการผลิต ถึง 96% แต่ด้วยความกังวลในเรื่องที่เกี่ยวข้องทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความกังวลในเรื่องต่างๆ หมดไปราคาในส่วนนี้น่าจะลดลงไปเอง

"ผมเชื่อว่าราคาน้ำมันยังน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงไตรมาส 4 จะสูงขึ้นเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว หากจะมีการปรับลดลงน่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า" นายสุกิจกล่าว

อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 43-44 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น เกิดจากความกังวลในเรื่องภัยของการก่อการร้าย และข่าวการวางระเบิดในสถานที่สำคัญในหลายประเทศ นักลงทุนจึงบวกราคาในส่วนนี้รวมเข้า ไปด้วย (วอร์ พรีเมียม) ทำให้ราคาน้ำมันในขณะนี้อยู่ระดับที่สูงเกินความเป็นจริง และหาก ดูในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าระยะ 24 เดือนแล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ 32 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ระยะยาวราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงด้าน ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันในช่วง 8 เดือนอยู่ที่ระดับ 37 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทั้งนี้หากคาดว่าในช่วง 4 เดือนจากนี้ราคา น้ำมันอยู่ในระดับ 50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 41 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็น ผลทำให้ต้นทุนดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เงินทุนหลักทรัพย์ พลังงาน และปิโตรเคมี เพิ่มประมาณ 3-4% ซึ่งต้นทุนตรงนี้เองยังส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งระบบประมาณ 6%

ในส่วนเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้นการปรับขึ้นน่าจะมีอัตราที่ต่ำลงกว่าที่หลายฝ่ายประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ แต่ยังมองว่าน่าจะมีการปรับขึ้น โดยในวันที่ 10 ส.ค. ธนาคารกลางสหรัฐฯจะมีการประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ย ถ้าหากมีนโย-บายที่ปรับขึ้นธปท.ก็น่าจะมีการปรับขึ้นก่อนกำหนดการประชุม 25 ส.ค.ก็ได้ เพื่อป้องกันเงินที่จะไหลออกจากระบบ และเพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าการปรับขึ้นคงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และอาจจะปรับตัวไม่ถึงระดับที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับเรื่องข่าวการเข้าเก็บหุ้นหลังจากที่ดัชนีในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงไประดับที่สูง จุดที่น่าจะมีแรงซื้อเข้ามาอยู่ที่ 600 จุดโดย เชื่อว่ากองทุนขนาดใหญ่ทั้งกองทุนวายุภักษ์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) น่าจะเริ่มทยอยเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาต่ำเข้าพอร์ตบ้าง ทั้งนี้เพื่อไม่ใช้ Momentum ของตลาดหลักทรัพย์เป็นช่วงขาลงทั้งทิศทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สัปดาห์นี้ คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายลดลง การปรับลงของดัชนีมาที่แนวรับสำคัญ 600 จุดมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น คำแนะนำการลงทุนกลุ่มธุรกิจที่ยังน่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.