BCPผลงานQ2ฟื้นกำไรผลค่ากลั่นพุ่งจ่ายดบ.ลด


ผู้จัดการรายวัน(4 สิงหาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

BCP กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 171% ฟื้นจากขาดทุนเป็นมีกำไร เนื่องจากบริษัททำรายได้รวมได้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายลดลงผลจากการรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ภายหลังจากที่บริษัทปรับโครงสร้างการเงินเสร็จ

นายวัฒนา โอภานนท์อมตะ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบริหารและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2547 ซึ่งพบว่าบริษัทพลิกจากขาดทุน เป็นกำไร โดยจากเดิมในงวดนี้ขาดทุน 913.14 ล้านบาท เป็นมีกำไร 647.21 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่ขาดทุนต่อหุ้นอยู่ 1.75 บาท เป็นมีกำไร 86 สตางค์ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 171%

เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวม 18,297 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) +1,003 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (หักลบดอกเบี้ยรับ) 180 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย 184 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 647 ล้านบาท (ช่วงเดียวกันปี 2546 มีผลขาดทุนสุทธิ 913 ล้านบาท)

โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2547 ค่าการกลั่น (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) อยู่ที่ระดับ 1.99$/BBL เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัท ได้มีการร่วมมือในกิจกรรมเพิ่มรายได้และลดต้นทุนร่วมกับบริษัทน้ำมันอื่น นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มปริมาณการกลั่นขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 85 KBD โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 13 KBD แต่ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่น 2 ขนาด 40 KBD เป็นระยะเวลา 25 วัน

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2546 ค่าการกลั่น (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) อยู่ที่ระดับ 1.85 $/BBL จากราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างมากตามแรงซื้อจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หยุดซ่อมแซม ประกอบกับความวิตก ในสถานการณ์สงครามระหว่างสหรัฐฯ และอิรักส่งผลให้ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ในไตรมาส 2 ปี 2547 บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (FX & Price Effects) จำนวน 577 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน ปี 2546 ที่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 770 ล้านบาท จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงประมาณ 7 $/BBL หลังสงครามระหว่างสหรัฐฯ และอิรักเกิดขึ้น

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2547 ค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูป (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) อยู่ที่ระดับ 44 สตางค์/ลิตร ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 40สตางค์/ลิตร เป็นผล สืบเนื่องมาจากนโยบายการตรึงราคาน้ำมันของภาครัฐส่งผลให้ค่าการตลาดคงที่ ทั้งนี้ บริษัท มีปริมาณการขายน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นทุกช่องทางการจำหน่าย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการปรับเพิ่มขึ้น 6.4% ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเตาผ่านตลาดอุตสาหกรรมก็เพิ่มขึ้น 2.8% จากการที่บริษัทฯ ชะลอการจำหน่ายในตลาดขายส่งเพื่อรักษาค่าการตลาดให้อยู่ในระดับสูง ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 304 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 24 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ประกอบด้วยค่าซ่อมแซม สถานีบริการลดลง 7 ล้านบาท ค่าโฆษณาลดลง 5 ล้านบาทค่าใช้จ่ายภาษีและเบี้ยประกันภัยลดลง 5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆลดลง 7 ล้านบาท

อีกทั้งในไตรมาส 2 ปี 2547 บริษัทมี ดอกเบี้ยจ่าย 183 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 94 ล้านบาท เป็นผลจากการ Refinance หุ้นกู้เดิมส่วนใหญ่ด้วยเงินทุนใหม่ที่ได้จากการปรับโครงสร้างการเงิน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีดอกเบี้ยรับ 3 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ ได้รับวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนตามแผนการปรับโครงสร้างการเงิน บริษัทฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องถือเงินสดเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมไว้ชำระค่าน้ำมันดิบ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.