2538 หลังจากการฉลองครบรอบ 20 ปี โรงแรมอิมพีเรียล ถือว่าอากรประสบความสำเร็จอย่างสูง
กับการตัดสินใจขายโรงแรมอิมพีเรียล ให้กับเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมาของเมืองไทยไปก่อนหน้านั้น
เพราะมิเช่นนั้นแล้วเรื่องปวดหัวจากหนี้สินที่มีอยู่ในตอนนั้น ก็จะกลายเป็นปัญหาหนักขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ในเวลาที่เศรษฐกิจไม่ปรานีใครเช่นทุกวันนี้
อากร ขายโรงแรมในเครือนิวอิมพีเรียลให้กับเจริญไปเมื่อประมาณกลางปี 2537
ซึ่งใช้เวลาในการตกลงซื้อขายกันก่อนหน้านั้นเป็นเวลา 5 เดือน โดยขายหุ้นจำนวน
70% ในราคาหุ้นละ 33 บาท ทำให้อากรมีเงินจากการขายกิจการในเครือบริษัทนิวอิมพีเรียล
โฮเต็ล โดยได้แปลงสภาพหนี้สินเกือบ 5,900 ล้านบาท มาถือเงินสดไว้ในมือได้ถึง
2,310 ล้านบาท
หนี้สินของอากรที่มีอยู่ในขณะนั้น ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนก่อสร้างโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค
บริเวณซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งใช้เงินลงทุนสูงถึง 4,500 ล้านบาทและเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเครืออิมพีเรียล
ซ้ำร้ายช่วงระหว่างการก่อสร้างคือช่วงปี 2532 เป็นต้นมา มีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตลอดเวลา
ตั้งแต่เหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 2532 เหตุการณ์ รสช.ปฏิวัติในปี
2533-2534 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง
จนแม้กระทั่งโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์คเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น
แถมมีคู่แข่งโรงแรมระดับ 5 ดาวผุดขึ้นมาแข่งกันร้างลูกค้าอีกเป็นดอกเห็ด
ทำให้นอกจากจะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่ยืมมาลงทุนแล้ว สภาพคล่องก็ไม่มี
ทำให้อากรยอมตัดใจขายหุ้นโรงแรมในเครือฯ ให้กับเจริญไปในที่สุด
อากรกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตว่า ถือว่าโชคดีที่เขาขายหุ้นโรงแรมออกไปได้
มิฉะนั้นตอนนี้เขาคงแย่เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาท ถ้าเขายังมีหนี้สินอยู่มากเหมือนสมัยถือหุ้นโรงแรมในเครือฯ
อยู่เต็ม 100%
ทุกวันนี้จึงพูดได้ว่าอากรสามารถลอยตัวได้จากสถานการณ์ทั้งปวง
โรงแรมในเครือนิวอิมพีเรียลที่อากรขายหุ้นให้กับเจริญ ประกอบด้วยโรงแรมอิมพาล่า
โรงแรมอิมพีเรียล ธารา โรงแรมอิมพีเรียลสมุย โรงแรมธาราแม่ฮ่องสอน โรงแรมเรือและบ้านสมุย
และโรงแรมลำปางธานี
อากรยังมีกิจการโรงแรมที่เหลืออยู่ 3 แห่ง คือ โรงแรมบ้านท้องทราย สมุย
โรงแรมซิตี้อินน์ และโรงแรมจิมส์ ลอร์จ ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ
ทั้งสองแห่ง ทั้ง 3 แห่งมีออฟฟิศศูนย์กลางเพื่อบริการจองห้องพักที่ถนนเพลินจิต
ประกอบกับช่วงเดียวกันนั้น อากรมีอาการของโรคมะเร็งทำให้เขาได้มีเวลาพักรักษาตัวเพิ่มขึ้น
จนหายเป็นปกติในที่สุด
อากร กล่าวว่า ปัจจุบันเขาได้แบ่งเวลาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ประมาณปีละ 6-8
เดือน หลังจากนั้นเวลาที่เหลือก็คือการใช้ชีวิตแบบสบายๆ พักผ่อน และดูแลกิจการโรงแรมบ้านท้องทราย
ที่เกาะสมุย รวมทั้งเดินทางไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ในส่วนของการดูแลธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของอากร ถือได้ว่าอากรค่อนข้างจะวางมือไปมาก
โดยการมอบหมายให้ลูกชายคนเดียว คือ ธนกร ฮุนตระกูล ที่เพิ่งจบการศึกษามาได้เพียงปีเศษจากประเทศอังกฤษ
โดยอากรมอบหมายให้บริหารงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ โรงแรมบ้านท้องทราย
"จริงๆ แล้ว แค่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ ผมก็ยังไม่เหมาะสมด้วยซ้ำ
เพราะตอนนี้ยังต้องศึกษางานอีกมาก" ธนกร กล่าวออกตัว
งานของธนกรในตอนนี้ นอกจากจะต้องดูแลงานที่บ้านท้องทรายแล้ว ยังต้องออกไปหาตลาดเพื่อดึงลูกค้าต่างประเทศมาใช้บริการโรงแรม
โดยการติดต่อผ่านเอเยนซีทัวร์ในต่างประเทศ รวมทั้งการทำตลาดเพื่อหาลูกค้าในประเทศไปพร้อมกันด้วย
เพราะในปัจจุบันโรงแรมบ้านท้องทราย ไม่ได้อยู่ในเครือของอิมพีเรียล ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ใช้บริการโรงแรม
แต่เป็นโรงแรมทั่วไปซึ่งไม่ได้สังกัดเชนโรงแรมดังๆ ทำให้การตลาดของโรงแรมจึงต้องเน้นการขายผ่านเอเยนซีเป็นหลัก
มากกว่าขายแบบเดี่ยวๆ
"ไม่ว่าค่าเงินจะขึ้นไประดับไหน เราก็ไม่ได้กำไรส่วนต่างๆ เพราะราคาที่เราขายผ่านเอเยนต์
เราก็กำหนดไปเลยว่าราคาห้องละเท่าไร คนที่ได้กำไรก็คือเอเยนต์ ที่ได้ทั้งกำไรจากราคาขายและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน"
อากรกล่าว
ราคาต่อห้องของบ้านท้องทรายที่ฝากขายกับเอเยนซี เริ่มต้นที่ 3,600 บาทต่อห้อง
ลูกค้าที่เข้าพักมีทั้งชาวยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จุดเด่นของโรงแรมบ้านท้องทรายคือ
การมีชายหาดซึ่งถือว่าเป็นหาดส่วนตัวจริงๆ แห่งหนึ่งบนเกาะสมุย เพราะมีชายหาดเว้าเป็นระยะพอเหมาะบริเวณด้านหน้าห้องและบ้านพัก
กั้นด้วยโขดหินทั้งสองฝั่ง ทำให้กั้นพื้นที่ชายหาดออกจากบริเวณข้างเคียงโดยธรรมชาติ
ขณะเดียวกันพนักงานทุกคนในโรงแรมยังพร้อมไปด้วยจิตสำนึกของการบริการ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการดูแลงานที่ทั่วถึงของอากร
และชมพูนุช ฮุนตระกูลนั่นเอง
นอกจากการบริหารงานที่ควบคู่ไปกับการพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติของครอบครัวฮุนตระกูลแล้ว
สำหรับอากร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทในฐานะผู้เข้าแข่งขันลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ทำให้เขายังค่อนข้างจะหลงใหลในกลิ่นอายของการเมืองอยู่มาก
เพราะอากรยังสนใจจะลงสมัครเพื่อรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิก ด้วยความตั้งใจที่อยากจะเสนอแนวคิดดีๆ
ที่มีอยู่ให้มีส่วนในการบริหารประเทศ รวมทั้งการเสนอความคิดเห็นในแง่มุมของเขาเองในเรื่องราวต่างๆ
ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยใช้เวลาว่างในวันพักผ่อนเขียนบทความแสดงความคิดเห็นที่ตนมี
โดยอากร กล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรกับบทความความคิดเห็นของผม
ผมพร้อมที่จะให้วิจารณ์ความคิดของผม พร้อมที่จะให้โต้แย้งทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่ผมอยากเสนอความคิดที่ผมมีอยู่ออกไปให้คนได้รับรู้มากกว่า"