อากร ฮุนตระกูลกับวันสบายๆ ที่บ้านท้องทราย


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

2538 หลังจากการฉลองครบรอบ 20 ปี โรงแรมอิมพีเรียล ถือว่าอากรประสบความสำเร็จอย่างสูง กับการตัดสินใจขายโรงแรมอิมพีเรียล ให้กับเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมาของเมืองไทยไปก่อนหน้านั้น เพราะมิเช่นนั้นแล้วเรื่องปวดหัวจากหนี้สินที่มีอยู่ในตอนนั้น ก็จะกลายเป็นปัญหาหนักขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ในเวลาที่เศรษฐกิจไม่ปรานีใครเช่นทุกวันนี้

อากร ขายโรงแรมในเครือนิวอิมพีเรียลให้กับเจริญไปเมื่อประมาณกลางปี 2537 ซึ่งใช้เวลาในการตกลงซื้อขายกันก่อนหน้านั้นเป็นเวลา 5 เดือน โดยขายหุ้นจำนวน 70% ในราคาหุ้นละ 33 บาท ทำให้อากรมีเงินจากการขายกิจการในเครือบริษัทนิวอิมพีเรียล โฮเต็ล โดยได้แปลงสภาพหนี้สินเกือบ 5,900 ล้านบาท มาถือเงินสดไว้ในมือได้ถึง 2,310 ล้านบาท

หนี้สินของอากรที่มีอยู่ในขณะนั้น ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนก่อสร้างโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค บริเวณซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งใช้เงินลงทุนสูงถึง 4,500 ล้านบาทและเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเครืออิมพีเรียล

ซ้ำร้ายช่วงระหว่างการก่อสร้างคือช่วงปี 2532 เป็นต้นมา มีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตลอดเวลา ตั้งแต่เหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 2532 เหตุการณ์ รสช.ปฏิวัติในปี 2533-2534 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จนแม้กระทั่งโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์คเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แถมมีคู่แข่งโรงแรมระดับ 5 ดาวผุดขึ้นมาแข่งกันร้างลูกค้าอีกเป็นดอกเห็ด ทำให้นอกจากจะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่ยืมมาลงทุนแล้ว สภาพคล่องก็ไม่มี ทำให้อากรยอมตัดใจขายหุ้นโรงแรมในเครือฯ ให้กับเจริญไปในที่สุด

อากรกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตว่า ถือว่าโชคดีที่เขาขายหุ้นโรงแรมออกไปได้ มิฉะนั้นตอนนี้เขาคงแย่เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาท ถ้าเขายังมีหนี้สินอยู่มากเหมือนสมัยถือหุ้นโรงแรมในเครือฯ อยู่เต็ม 100%

ทุกวันนี้จึงพูดได้ว่าอากรสามารถลอยตัวได้จากสถานการณ์ทั้งปวง

โรงแรมในเครือนิวอิมพีเรียลที่อากรขายหุ้นให้กับเจริญ ประกอบด้วยโรงแรมอิมพาล่า โรงแรมอิมพีเรียล ธารา โรงแรมอิมพีเรียลสมุย โรงแรมธาราแม่ฮ่องสอน โรงแรมเรือและบ้านสมุย และโรงแรมลำปางธานี

อากรยังมีกิจการโรงแรมที่เหลืออยู่ 3 แห่ง คือ โรงแรมบ้านท้องทราย สมุย โรงแรมซิตี้อินน์ และโรงแรมจิมส์ ลอร์จ ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ทั้งสองแห่ง ทั้ง 3 แห่งมีออฟฟิศศูนย์กลางเพื่อบริการจองห้องพักที่ถนนเพลินจิต

ประกอบกับช่วงเดียวกันนั้น อากรมีอาการของโรคมะเร็งทำให้เขาได้มีเวลาพักรักษาตัวเพิ่มขึ้น จนหายเป็นปกติในที่สุด

อากร กล่าวว่า ปัจจุบันเขาได้แบ่งเวลาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ประมาณปีละ 6-8 เดือน หลังจากนั้นเวลาที่เหลือก็คือการใช้ชีวิตแบบสบายๆ พักผ่อน และดูแลกิจการโรงแรมบ้านท้องทราย ที่เกาะสมุย รวมทั้งเดินทางไปต่างประเทศ

ทั้งนี้ในส่วนของการดูแลธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของอากร ถือได้ว่าอากรค่อนข้างจะวางมือไปมาก โดยการมอบหมายให้ลูกชายคนเดียว คือ ธนกร ฮุนตระกูล ที่เพิ่งจบการศึกษามาได้เพียงปีเศษจากประเทศอังกฤษ โดยอากรมอบหมายให้บริหารงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ โรงแรมบ้านท้องทราย

"จริงๆ แล้ว แค่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ ผมก็ยังไม่เหมาะสมด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ยังต้องศึกษางานอีกมาก" ธนกร กล่าวออกตัว

งานของธนกรในตอนนี้ นอกจากจะต้องดูแลงานที่บ้านท้องทรายแล้ว ยังต้องออกไปหาตลาดเพื่อดึงลูกค้าต่างประเทศมาใช้บริการโรงแรม โดยการติดต่อผ่านเอเยนซีทัวร์ในต่างประเทศ รวมทั้งการทำตลาดเพื่อหาลูกค้าในประเทศไปพร้อมกันด้วย

เพราะในปัจจุบันโรงแรมบ้านท้องทราย ไม่ได้อยู่ในเครือของอิมพีเรียล ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ใช้บริการโรงแรม แต่เป็นโรงแรมทั่วไปซึ่งไม่ได้สังกัดเชนโรงแรมดังๆ ทำให้การตลาดของโรงแรมจึงต้องเน้นการขายผ่านเอเยนซีเป็นหลัก มากกว่าขายแบบเดี่ยวๆ

"ไม่ว่าค่าเงินจะขึ้นไประดับไหน เราก็ไม่ได้กำไรส่วนต่างๆ เพราะราคาที่เราขายผ่านเอเยนต์ เราก็กำหนดไปเลยว่าราคาห้องละเท่าไร คนที่ได้กำไรก็คือเอเยนต์ ที่ได้ทั้งกำไรจากราคาขายและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน" อากรกล่าว

ราคาต่อห้องของบ้านท้องทรายที่ฝากขายกับเอเยนซี เริ่มต้นที่ 3,600 บาทต่อห้อง ลูกค้าที่เข้าพักมีทั้งชาวยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จุดเด่นของโรงแรมบ้านท้องทรายคือ การมีชายหาดซึ่งถือว่าเป็นหาดส่วนตัวจริงๆ แห่งหนึ่งบนเกาะสมุย เพราะมีชายหาดเว้าเป็นระยะพอเหมาะบริเวณด้านหน้าห้องและบ้านพัก กั้นด้วยโขดหินทั้งสองฝั่ง ทำให้กั้นพื้นที่ชายหาดออกจากบริเวณข้างเคียงโดยธรรมชาติ

ขณะเดียวกันพนักงานทุกคนในโรงแรมยังพร้อมไปด้วยจิตสำนึกของการบริการ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการดูแลงานที่ทั่วถึงของอากร และชมพูนุช ฮุนตระกูลนั่นเอง

นอกจากการบริหารงานที่ควบคู่ไปกับการพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติของครอบครัวฮุนตระกูลแล้ว สำหรับอากร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทในฐานะผู้เข้าแข่งขันลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำให้เขายังค่อนข้างจะหลงใหลในกลิ่นอายของการเมืองอยู่มาก

เพราะอากรยังสนใจจะลงสมัครเพื่อรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิก ด้วยความตั้งใจที่อยากจะเสนอแนวคิดดีๆ ที่มีอยู่ให้มีส่วนในการบริหารประเทศ รวมทั้งการเสนอความคิดเห็นในแง่มุมของเขาเองในเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยใช้เวลาว่างในวันพักผ่อนเขียนบทความแสดงความคิดเห็นที่ตนมี

โดยอากร กล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรกับบทความความคิดเห็นของผม ผมพร้อมที่จะให้วิจารณ์ความคิดของผม พร้อมที่จะให้โต้แย้งทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ผมอยากเสนอความคิดที่ผมมีอยู่ออกไปให้คนได้รับรู้มากกว่า"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.