ยุคที่คนว่างงานกว่า 2 ล้านล้านคนเช่นเมืองไทยในทุกวันนี้ ธุรกิจขายตรงได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก
เนื่องจากการลงทุนต่ำ รายได้ขึ้นอยู่กับความขยันและเอาใจใส่อย่างจริงจัง ทั้งยังเป็นธุรกิจที่พร้อมจะอ้าแขนรับสมาชิกทุกคน
โดยไม่เกี่ยงเรื่องการศึกษาและประสบการณ์ ปัจจุบันมีธุรกิจขายตรงกว่า 100 บริษัทที่ดำเนินการอยู่ในประเทศ
ไทย โดยเป็นบริษัทต่างชาติประมาณ 20 กว่าแห่ง นอกจากนั้นเป็นบริษัทของคนไทย
แม้รัฐบาลจะมีนโยบาย กินของไทย ใช้ของไทย ร่วมใจประหยัด ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของธุรกิจต่างชาติที่นำสินค้าสารพัดทั้งเครื่องสำอาง
อาหารเสริม เครื่องอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศเข้ามายังบ้านเราได้ เพราะธุรกิจขายตรงของต่างประเทศนั้นมีภาพพจน์ที่น่าเชื่อถือ
และมีระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และมีการอบรมอย่างต่อเนื่องแน่นอน
อย่างไรก็ตามธุรกิจขายตรงแบบไทยๆ ที่ทำจริงและ มีระบบที่ดีนั้นก็มีไม่น้อย
เช่น ที่เราคุ้นหูกันดีว่า "มิสทินมาแล้วค่ะ" ของบริษัทเบทเตอร์เวย์
ส่วนบริษัทสกายไลน์ยูนิตี้ ผู้ผลิตเครื่องสำอางกิฟฟารีน ซึ่งเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
ในยุคไอเอ็มเอฟที่ผู้คนทยอยกันว่างงานอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ คนจำนวนมากได้เดินเข้าสู่ระบบขายตรง
โดยเฉพาะระบบขายตรงแบบเครือข่ายกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นระบบที่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่จูงใจกว่าระบบขายตรงแบบชั้นเดียว
สิ่งเหล่านี้เองทำให้ จินตนา ตรีพิชิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินคริสซ์
เน็ทเวิร์ค จำกัด เกิดแนวคิดว่า ควรมีการจัดสัมมนาและแสดงสินค้าเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงขึ้น
เพื่อให้ข้อมูลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ที่สนใจ ทั้งยังเป็นการแนะนำผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงอีกหลายๆ
บริษัทที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักนัก เพื่อให้คนได้เข้ามาสัมผัสและมีทางเลือกมากขึ้น
นเรนทร์ เตชะวรวงศา ที่ปรึกษาบริษัทอินคริสซ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขายตรงในประเทศ
ไทยกว่า 100 แห่ง คาดว่ามีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยว่า 2.5 หมื่นล้านบาท และมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ
20%
"ปีนี้จะมีคนตกงานประมาณ 2.5 ล้านคน คาดว่าน่าจะมีคนไม่ต่ำกว่า 1
ล้านคนที่เข้าสู่ระบบนี้ และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี
เพราะคนเข้ามามาก สินค้าก็มีมากขึ้น ยอดขายก็สูงขึ้นมาก" นเรนทร์ กล่าว
แม้ธุรกิจขายตรงจะดูเป็นทางเลือกสำคัญในการสานฝันของคนว่างงานยุคไอเอ็มเอฟก็ตาม
แต่หากเลือกไม่ดีก็อาจจะเกิดอาการฝันสลายกันได้ เพราะปัจจุบันระบบการควบคุมดูแลของภาครัฐเกี่ยวกับธุรกิจนี้ยังไม่ดีนัก
มีบริษัทที่เข้ามาหลอกลวงต้มตุนผู้คนให้เห็นอยู่เสมอ โดยอ้างว่าเป็นระบบขายตรงเป็นเครือข่าย
ชักจูงคนเข้ามาเป็นสมาชิกในลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่ผู้บริหารขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์
จนถึงขั้นปิดบริษัทและลอยแพสมาชิก
สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพพจน์ของธุรกิจขายตรงไม่สวยหรูนัก ทั้งที่จริงแล้วธุรกิจขายตรงทุกระบบจะเติบโตได้ก็ด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ
ใช้แล้วบอกต่อ มิใช่การหาคนเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกให้มากที่สุด เพื่อหาผลประโยชน์จากจุดนั้นโดยไม่ใส่ใจในตัวสินค้าเลย
"ในเมืองไทยมีบริษัทขายตรงที่ทำแล้วอยู่ไม่ได้เป็นจำนวนมากเรียกได้ว่า
100 แห่งมีสัก 25 แห่งที่อยู่ไม่ได้ ซึ่ง มาจากเหตุผลหลายประการ เช่น การขัดแย้งของผู้บริหาร
สินค้าเมื่อใช้ในระยะยาวแล้วไม่สมราคา และระบบความรักความผูกพันในองค์กร
การแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ดี" นเรนทร์อธิบาย พร้อมทั้งให้หลักในการพิจารณาบริษัทขายตรงดังนี้คือ
หนึ่ง ทุนจดทะเบียนไม่น้อยจนเกินไป สอง สินค้ามีความจำเป็นจริงหรือไม่
สาม ระบบการจ่ายผลประโยชน์ต้องดี สามารถตรวจสอบได้ เปิดเผยและยืนยันได้ ทั้งนี้บริษัทขายตรงอาจจะซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้
และดัดแปลงให้เหมาะสมกับธุรกิจของตน สี่ ต้องมีเงินทุนสนับสนุน จำนวนมากไม่ต่ำกว่า
10 ล้านบาทในระยะแรก และ ห้า สินค้าที่จะขายต้องพิเศษ หาซื้อไม่ได้ทั่วไป
นอกจากนี้สินค้าเหล่านั้นควรเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เพราะจะทำให้นักขายสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
และมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องคอยวิ่งหาลูกค้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
สินค้าที่นิยมขายกันมากในระบบนี้คือ เครื่องสำอางซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 50%
เครื่องอุปโภคบริโภค 30% อาหารเสริม 15% และอื่นๆ 5% ปัจจุบันแนวโน้มของอาหารเสริมกำลังมาแรง
เนื่องจากคนเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น
นเรนทร์ตั้งข้อสังเกตว่า "เครื่องสำอางจะขายให้สุภาพสตรีเท่านั้น
ขณะที่เครื่องอุปโภคบริโภคและอาหารเสริมนั้น ขายให้ได้ทั้งครอบครัว กลุ่มเป้าหมายของอาหารเสริมจึงกว้างมาก"
ปัจจุบันคนให้ความสนใจที่จะเข้าสู่ระบบขายตรงมากขึ้น เนื่องจากสามารถทำเป็นงานประจำหรือทำเป็นอาชีพเสริม
ก็ได้ นเรนทร์คาดว่าในงานสัมมนาและแสดงสินค้าไดเร็กต์เซลล์ ที่บริษัทอินคริสซ์จะจัดขึ้นในวันที่
17-19 มี.ค.นี้จะมีผู้สนใจเข้าชมการแสดงสินค้าไม่น้อยกว่า 100,000 คน และมีผู้สนใจเข้าสู่ระบบขายตรงไม่น้อยกว่า
30% โดยอาจจะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม
งาน "ไดเร็กต์เซลล์...ทางเลือกใหม่ในยุคเศรษฐกิจถดถอย" นี้จะจัดขึ้นที่หอประชุมมหิศร
อาคารไทยพาณิชย์ปาร์ค เวลา 08.00-20.00 น. โดยจะมีบริษัทขายตรงมาร่วมออกบูททั้งสิ้น
30 บูท และมีสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เข้าชมงานสามารถเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายได้
สำหรับการสัมมนาในวันที่ 17 มี.ค.นั้น มีหัวข้อที่น่าสนใจคือการเติบโตของธุรกิจขายตรงในประเทศไทย
ทิศทางของธุรกิจขายตรงปี 2541 บทบาทของสมาคมขายตรงแห่งประเทศไทย การคุ้มครองผู้บริโภคในธุรกิจขายตรง
ขายตรงอาชีพที่พลิกชีวิตคนทำงาน และทอล์คโชว์ "ขายตรง...อนาคตที่เรากำหนดได้"