ทันทีที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นแห่งประเทศญี่ปุ่นแถลงข่าวถึงผลประกอบการในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา
ด้วยแนวโน้มว่าอาจต้องปิดโรงงานผลิตรถยนต์ปิกอัพที่ลาดกระบัง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก
ยังมีเรื่องน่าขบคิดที่สำคัญจนดูแปลกยิ่งกว่านั้น
ก่อนหน้านี้บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิ
พยากรณ์ผลประกอบการก่อนหักภาษีว่าจะได้กำไร 15,000 ล้านเยน แต่มาตอนนี้ต้องปรับใหม่คาดว่า
ผลประกอบการก่อนหักภาษีจะปรากฏออกมาเป็นขาดทุน 60,000 ล้านเยน โดยมียอดขาย
3,700,000 ล้านเยน แทนที่จะเป็น 3,900,000 ล้านเยนตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ ที่ได้รับการกระทบกระเทือนหนักที่สุดคือในเอเชียอาคเนย์
ซึ่งยอดขายตกลงฮวบฮาบ เป็นผลให้เกิดการขาดทุน 45,000 ล้านเยน จำนวนนี้ยังไม่รวม
เงิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่บริษัทลูกในไทยกู้ไป
ผู้บริหารของมิตซูบิชิกล่าวยอมรับว่า ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในญี่ปุ่นและความปั่นป่วนด้านการเงินในเอเชีย
รุนแรงยิ่งกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ คัตสึฮิโกะ คาวาโซเอะ ประธานบริษัทยังกล่าวยอมรับว่า ความยุ่งยากของบริษัทเป็นผลเนื่องมาจากยุทธศาสตร์ที่ผิดแนวของบริษัท
ตรงที่ไม่มีรถขนาดเบาเพื่อการพักผ่อน เพื่อสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น
ปล่อยให้บริษัทอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไป
บริษัทรถยนต์อื่นๆ ของญี่ปุ่นก็ได้รับความกระทบกระเทือน จากวิกฤติการณ์ในเอเชียและเศรษฐกิจที่ชะงักงันของญี่ปุ่นเช่นกัน
ทว่าบริษัทอื่นต่างจากมิตซูบิชิ ตรงที่ได้มีการส่งออกไปยังประเทศทางตะวันตกมาช่วยชดเชยได้ส่วนหนึ่ง
การส่งออกได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลง
เหตุการณ์นี้นับเป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ รายงานผลขาดทุนหนักหน่วงและไม่จ่ายผลกำไร
นับตั้งแต่ที่นำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์ในปี 1988
เมื่อปีที่แล้วมิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ มียอดกำไรสุทธิ 11,600 ล้านเยน จากยอดขาย
3,675,000 ล้านเยน
ความสำคัญของถ้อยแถลงที่นับว่าอาจมีผลต่อไทยอย่างมาก เมื่อมิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ
ได้ประกาศแผนการปรับโครงสร้างอย่างกว้างขวาง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ได้ถึง
350,000 ล้านเยนในช่วงระยะเวลา 3 ปี พร้อมกันนั้นก็จะลดหนี้สินที่ต้องเสียดอกเบี้ยให้ได้
300,000 ล้านเยน
แผนการปรับโครงสร้างกำหนดให้ลดแบบฐานของรถยนต์ที่ใช้จาก 12 ฐานในขณะนี้ให้เหลือเพียง
6 และลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในด้านทุนจะลดลง
แผนลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญก็คือ การปิดโรงงานผลิตรถยนต์ปิกอัพที่ลาดกระบังในประเทศไทย
การปิดโรงงานที่ลาดกระบัง เพื่อหันมาเน้นโรงงานที่แหลมฉบังอีก 3 โรง ซึ่งเป็นโรงงานที่เทคโนโลยีการผลิตใหม่กว่าทันสมัยกว่า
อาจเป็นสิ่งที่ดีในเชิงการลงทุนระดับโลก และแน่นอนมิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ จะยังเน้นการส่งออกรถยนต์จากไทยให้มากขึ้น
เพื่อหนีปัญหาการขาดทุนจากฐานการผลิตในไทย แต่ปมปัญหาตรงนี้จะกระเทือนต่อตลาดของรถยนต์มิตซูบิชิในไทยอย่างมาก
ปัญหาความไม่แน่ใจต่อนโยบายการตลาดจะเป็นเรื่องหลัก ทั้งต่อผู้บริโภคและต่อดีลเลอร์ของมิตซูบิชิเอง
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงวิกฤตอย่างมากสำหรับการทำตลาดรถยนต์ในไทย
และผู้ที่รับชะตากรรมอย่างมากกลุ่มหนึ่งก็คือ เหล่าดีลเลอร์ทั้งหลาย
และดูเหมือนว่าดีลเลอร์ของมิตซูบิชิ จะออกอาการมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
ภาพรวมของทุกยี่ห้อ ดีลเลอร์จะปิดตัวลงกว่า 30% ซึ่งในจำนวนดังกล่าว จะเป็นดีลเลอร์มิตซูบิชิกว่า
50% "ต่อไปดีลเลอร์รถจะเหลือน้อยลง การหันมาให้ความสำคัญด้านศูนย์บริการเท่านั้น
ที่จะทำให้ดีลเลอร์มีรายได้มาเลี้ยงฝ่ายขาย ดีลเลอร์ที่จะอยู่ได้ต้องมีสายป่านยาวและมีเครือข่ายศูนย์บริการมากแห่ง"
ตัวแทนกลุ่มรายเดิมกล่าวยกตัวอย่างสถานการณ์ธุรกิจของตนเองให้ฟังว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรถที่
1,000 คัน แต่ในปีนี้คาดว่ายอดขายจะลดลงเหลือเพียงประมาณ 200 คัน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทแม่ไม่ได้ให้การช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีการผ่อนผันหนี้สิน หรือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ของดีลเลอร์ รวมถึงการทำตลาด
โดยจะให้การช่วยเหลือเพียงการยืดเครดิตเทอม จาก 60 วันมาเป็น 90 วันเท่านั้น
นอกจากนี้ ระหว่างดีลเลอร์มิตซูบิชิกับเอ็มเอ็มซี สิทธิผลยังมีปัญหาขัดแย้งกันมาโดยตลอด
เนื่องจากไม่มีการประสานความร่วมมือระหว่างกันเท่าที่ควร ปัญหาหลักที่มีการถกเถียงกันเสมอก็คือ
การช่วยเหลือที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะบริษัทแม่รถยนต์เกือบทุกรายจะเน้นการช่วยเหลือดีลเลอร์ที่มีสายป่านยาว
และเครือข่ายศูนย์บริการมากราย ที่ขาดคุณสมบัติจะถูกละเลยและปล่อยให้ล้มลงไป
"มีการประชุมกันหลายครั้งแล้วว่าดีลเลอร์มีปัญหา และพูดกันว่าบริษัทแม่น่าจะให้ความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
เช่นจะรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้อย่างไร โดยไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาดไปครอง
ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทแม่มักจะพูดว่า เรื่องหนี้สินให้ไปเคลียร์กันเอาเอง
แต่ไม่มีการแนะนำว่าจะรักษาตลาดของตัวเองไว้อย่างไร นอกจากนั้น กิจกรรมการตลาดก็ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร"
การที่มิตซูบิชิปล่อยให้ดีลเลอร์ต้องโดดเดี่ยวในสถานการณ์เช่นนี้ นับว่าน่ากลัวสำหรับการรักษาฐานตลาดในไทยอย่างมาก
เพราะแม้ว่ามิตซูบิชิ มอเตอร์สฯ จะตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในไทย ด้วยการเน้นการส่งออกให้มากขึ้น
แต่การรักษาฐานที่มั่นของแหล่งผลิตนั้นๆ ก็น่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากสภาพของดีลเลอร์มิตซูบิชิที่ดูจะต่ำต้อยลงแล้ว ในงานมอเตอร์โชว์ที่เป็นงานใหญ่ที่สุดของประเทศ
ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นไปนั้น มิตซูบิชิก็ยังยอมปล่อย โดยไม่ได้เข้าร่วมแสดงรถยนต์
ปล่อยให้คู่แข่งสำคัญอย่างโตโยต้า และฮอนด้า รวมทั้งอีซูซุ เก็บเกี่ยวประโยชน์ไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยทีเดียว
จากนโยบายที่พยายามแก้ปัญหาในเรื่องของฐานผลิต เพื่อลดการขาดทุนในระดับองค์กรรวม
จากพฤติกรรมที่กระทำต่อดีลเลอร์ และการไม่เข้าร่วมสังฆกรรมมอเตอร์โชว์ด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ
กับแนวทางที่จะเน้นการส่งออกจากฐานผลิตในไทยให้มากขึ้น
คงต้องเข้าใจได้ว่ามิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปฯ กำลังจะยอมถอยกับสงครามและวิกฤตการณ์ตลาดในไทยเสียแล้วกระมัง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่านโยบายเช่นนี้ เหมาะสมและถูกต้องกับอนาคตของมิตซูบิชิในไทยหรือไม่
แค่ไหน
เมื่อมิตซูบิชิ เน้นการผลิตเพื่อส่งออกจากฐานในไทย แต่กลับปล่อยโอกาสกับตลาดรถยนต์เมืองไทย
ไม่แปลก ก็ต้องนับว่าแปลกเสียแล้ว