ผ่าตัดสหวิริยาโอเอ ทางเลือกที่มีไม่มากของ "แจ๊ค"


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

6 ปีเต็มที่แจ๊ค มินทร์ อิงค์ธเนศสร้างให้สหวิริยาโอเอเติบโตจากบริษัทค้าคอมพิวเตอร์เล็กๆ จนกลายเป็นบริษัทค้าส่งไอทีขนาดใหญ่ย่อม ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้

แต่การรักษาธุรกิจให้เติบโตไปตลอดรอดฝั่งกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจเช่นนี้

สหวิริยาโอเอ จัดเป็นอีกหนึ่งในกรณีศึกษาของธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองอย่างสุดขีด และต้องมาประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก จากการปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ และจากภาวะเศรษฐกิจที่มากระหน่ำซ้ำเติม

เมฆหมอกของสหวิริยาโอเอเริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ ปี 2539 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มขาดทุนเป็นครั้งแรก และมาออกอาการมากขึ้นในปี 2540 เมื่อมีรายได้ 5,545 ล้านบาท ลดลงจากปี 2539 เป็นเงินถึง 869.2 ล้านบาท มีตัวเลขขาดทุนสุทธิ 2,362 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,493 ล้านบาท

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหวิริยาคล้ายคลึงกับองค์กรอื่นๆ ในขณะนี้ คือ การขาดสภาพคล่องทางการเงินที่จะมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และมีหนี้สินที่จะต้องชำระคืนให้กับเจ้าหนี้เงินกู้ทั้งในและนอกประเทศอีกก้อนใหญ่

จนถึงขั้นที่แจ๊คจะต้องปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ พร้อมกับปรับลดพนักงานลง 400 คน จากที่มีอยู่ 8-900 คน ให้เหลืออยู่เพียงแค่ 500 คน พร้อมกับประกาศขายอาคารอัจฉริยะ ริมถนนพระราม 3 มูลค่า 1,100 ล้านบาทเพื่อนำเงินมาใช้หนี้

จะว่าไปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหวิริยาโอเอในเวลานี้ ไม่ได้เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาที่สั่งสมมาจากตัวของธุรกิจเอง

ในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว ในช่วงหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ สหวิริยาโอเอมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ทั้งในแนวลึกและแนวกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการขยายสู่ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจบรอดคาสติ้ง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง และใช้เวลานานมากกว่าจะคืนทุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโทรคมนาคมที่สหวิริยาโอเอลงทุนนั้น ไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาด ไม่ว่าจะเป็นวีแสท หรือ วิทยุเครือข่ายสาธารณะ (พีอาร์เอ็น) ที่ยังไม่สามารถสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ และกลายเป็นภาระให้กับธุรกิจทั้งกลุ่ม

ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจค้าส่งคอมพิวเตอร์พีซี ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้ให้กับสหวิริยาโอเอ เกินครึ่งต้องประสบกับปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเร็วมาก ซึ่งส่งผลให้ราคาของเครื่องรุ่นที่ออกมาไม่นานก็มีราคาลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

การทำธุรกิจในลักษณะนี้ จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นสูงในการแข่งขันสูง ทั้งในเรื่องของราคาและการทำตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการบริหารสต็อกสินค้า ที่จะต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะนั่นหมายถึงต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ตามมา

อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของสหวิริยาโอเอ ก็คือการเป็นบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็นดาบสองคมต่อการทำธุรกิจค้าส่งคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก

แน่นอนว่าการเป็นบริษัทจดทะเบียนจะมีข้อดี ในแง่ของการสามารถระดมเงินบางส่วนที่มาจากส่วนต่างของราคาหุ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทค้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องมีความยืนหยุ่นในการวางกลยุทธ์ และการกำหนดราคาได้

"จุดสำคัญของธุรกิจนี้ คือ จะต้องบริหารสต็อกให้ได้ ในบางครั้งหากมีสต็อกสินค้าเหลือมากๆ ก็อาจจำเป็นต้องล้มเครื่อง คือ การรื้อเครื่องออกมาเป็นอะไหล่ไว้ให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งจะแก้ปัญหาเรื่องสต็อกสินค้าได้ดีกว่ารอขายเครื่องออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทค้าคอมพิวเตอร์ทำกันอยู่และจำเป็นจะต้องทำ เพราะเป็นวิธีที่แก้ปัญหาในเรื่องสต็อกได้ดีที่สุด"

แต่สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำเป็นจะต้องมีการทำบัญชีอย่างถูกต้อง มีการระบุจำนวนการนำเข้าและขายไปให้ตรงกัน การนำวิธีล้มเครื่องมาใช้จึงไม่อาจทำได้ เพราะจะสร้างปัญหาทางบัญชีอย่างมาก เพราะไม่อาจตรวจสอบหรือชี้แจงได้ จึงกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจประเภทนี้

จะเห็นได้ว่า สหวิริยาโอเอ มีปัญหาในเรื่องสินค้าค้างสต็อกมาตลอด ในปี 2538 มีสต็อกเหลือ 812 ล้านบาท ปี 2539 มีสต็อกเหลือ 839 ล้านบาท พอมาในปี 2540 มีสต็อกสินค้าเหลือเพิ่มขึ้นถึง 1,380 ล้านบาท

จะมีก็เพียงธุรกิจที่ปรึกษาและวางระบบคอมพิวเตอร์ ที่ดูเหมือนจะเป็นธุรกิจเดียวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะลักษณะของธุรกิจที่เป็นการขายระบบงานและบริการ ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาด แต่ธุรกิจนี้ก็ยังไม่สามารถเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัทได้

ตลอดปี 2540 แจ๊คเองพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการประกาศหาพันธมิตรให้เข้ามาซื้อหุ้น หรือช่วยเหลือในเรื่องการทำเทรดไฟแนนซ์บ้าง ซึ่งก็มีเพียงแค่พันธมิตรเก่าแก่ อย่างเอเซอร์ และเอปซอน ที่ค้าขายกันมานานเท่านั้น ที่เข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของทำเทรดไฟแนนซ์ คือ นำสินค้าเข้ามาขายและเมื่อขายได้ก็เอาเงินสดมาใช้หมุนเวียนในบริษัท จนเมื่อถึงกำหนดชำระจึงคืนให้พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยเท่ากับที่กู้จากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นอกจากเอเซอร์ และเอปซอน สองรายที่เป็นเกลอเก่าที่ค้าขายกันมานานแล้ว ที่มาช่วยในเรื่องเทรดไฟแนนซ์ ก็ยังไม่มีพันธมิตรรายอื่นๆ

ทางออกของสหวิริยาโอเอในเวลานี้ ก็คงไม่ต่างไปจาก องค์กรอื่นๆ ในภาวะเช่นนี้ ก็คือ การหันมายอมรับสภาพความเป็นจริง ด้วยการลดขนาดองค์กรลง ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ชะลอ หรือยุติรายการที่ไม่ทำรายได้ และหันไปโฟกัสเฉพาะธุรกิจที่ยังสร้างรายได้ให้เท่านั้น

นอกเหนือจากการขายอาคารอัจฉริยะ 32 ชั้น และการเลย์ออฟพนักงานแล้ว โครงสร้างของธุรกิจก็ยังถูกปรับใหม่ให้มีความกระชับมากขึ้น

บริษัทลูก 20 แห่งที่มีอยู่ถูกยุบเหลือเพียง 13 แห่ง โดยบริษัทลูก 7 แห่ง แจ๊คใช้คำว่า หยุดดำเนินการชั่วคราว จะนำมายุบรวมไว้ใน 13 บริษัทที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ และจะมุ่งเน้นในธุรกิจ 3 กลุ่มหลักที่มีอยู่เดิม คือ กลุ่มธุรกิจช่องทางจัดจำหน่าย กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและวางระบบคอมพิวเตอร์ และกลุ่มโทรคมนาคมและโครงการพิเศษ

ในแต่ละกลุ่มจะมุ่งเน้นทำตลาดเฉพาะสินค้าหลักๆ เท่านั้น เช่น กลุ่มช่องทางจัดจำหน่ายจะมุ่งทำตลาด ไปที่เครื่อง เอเซอร์, เอปสัน, ฮิวเลตต์ แพคการ์ด, แอปเปิ้ล, และซิมโบล ส่วนโทรคมนาคมก็หันไปมุ่งธุรกิจที่เป็นการขายระบบ เช่น วิศวกรรม การขาย การซ่อมบำรุงรักษาเป็นหลัก

การปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาในเรื่องลดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับสู่สภาพความเป็นจริง อันเป็นผลต่อการดึงพันธมิตรต่างชาติเข้ามาถือหุ้น เพื่อนำเม็ดเงินเข้ามาใช้กู้สถานการณ์

เพราะทางเลือกของสหวิริยาโอเอ และแจ๊คเวลานี้ก็มีไม่มากนัก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.