หลังจากห่างหายไปนานจนเกือบจะถูกลืม "โอกิ" (OKI) ก็กลับเข้ามาในไทยอีกครั้ง
ด้วยหวังจะใช้ไทยเป็นฐานในการทำตลาดและการขายสำหรับภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
ผลิตภัณฑ์ "โอกิ" ได้เข้ามามีบทบาทในวงการสื่อสารโทรคมนาคมของไทยเมื่อ
13 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัท โอกิ อิเลคทริค อินดัสทรี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
ได้มอบหมายให้บริษัท โอลิมเปียไทย เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องพรินเตอร์
(Printer) และต่อมาได้ให้บริษัท สหวิริยาโอเอ จำกัด ดูแลตลาดประเภทแฟกซ์
และระบบโทรศัพท์ตู้สาขา (Key Telephone System)
มาระยะหลังนี้เองที่ชื่อของ "โอกิ" ห่างไปจากความคุ้นเคยของคนไทย
จนบริษัทแม่ต้องดำเนินกลยุทธ์ใหม่ เข้ามาตั้งบริษัทเองเพื่อดูแลการตลาดและการขายโดยตรงในชื่อ
บริษัท โอกิ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยให้บริษัท
โอกิ อิเลคทรอนิค ประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้น 49% บริษัทโอลิมเปียไทย 40% และบริษัท
บางกอก ฟูจิ โฮลดิ้ง 11%
การเข้ามาตั้งฐานในไทยนี้ มองในแง่ประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะมีคนมั่นใจว่าเราจะมีสิทธิ์และยังไปได้ไกล
จึงกล้าเข้ามาลงทุนตั้งฐานการตลาด แต่ในแง่โอกิเขามองอย่างไรนั้น มร.ชิอิจิ
นาคานิชิ ประธานบริษัท โอกิ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) มีคำตอบที่น่าฟังว่า "วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดในไทยและภูมิภาคเอเชียในปัจจุบันส่งผลกระทบ
ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์สื่อสารโทรคมนาคมในแถบนี้ลดสัดส่วนลงไปมาก แต่คาดว่าความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก
2 ปีข้างหน้า ดังนั้นโอกิจึงไม่ได้คาดหวังการทำตลาดในช่วงนี้มากนัก"
แผนงานในช่วงนี้ โอกิจึงเน้นการวางรากฐานด้วยกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ชื่อของโอกิกลับมาเป็นที่รู้จักของคนไทยชนิดติดหูติดตากันอีกครั้ง
ด้วยงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ตั้งไว้ถึง 50 ล้านบาท เพื่อให้ทราบถึงผลิตภัณฑ์ของโอกิที่ตอนนี้มีอยู่
5 สายการผลิต ได้แก่ คีย์ เทเลโฟน, ตู้โทรศัพท์ PBX, เครื่องพรินเตอร์แบบด็อต
เมทริก, พรินเตอร์ระบบ LED, และแฟกซ์
ขณะเดียวกันงานที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ ทำความรู้จักกับดีลเลอร์อีกครั้งเพื่อให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น
โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 70 ราย แบ่งเป็นตัวแทนในกรุงเทพฯ 30 ราย และในเขตต่างจังหวัดอีก
40 ราย "ปีนี้เราจะเน้นประชาสัมพันธ์กับดีลเลอร์ก่อน เพราะคำว่า "โอกิ"
ชื่อนี้ในเมืองไทยหายไปนานพอสมควรแล้ว"
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีบริษัทที่ดูแลการตลาดโดยตรงแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนหนึ่งก็ยังดำเนินการจำหน่ายผ่านโอลิมเปียไทยอยู่
แต่ในส่วนของสหวิริยาโอเอก็ถือว่า "รู้กันโดยปริยายว่าเมื่อเราตั้งบริษัทของเราเองแล้วเขาก็หมดหน้าที่"
ทั้งนี้ไม่ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการแต่ประการใด
ในส่วนยอดขายที่ไม่ได้เน้นเท่าไรนัก สุทธิชัย แพสาโรช ผู้จัดการทั่วไปได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
"ปีแรกประมาณยอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยมาจากพรินเตอร์ กับแฟกซ์ 80%
อีก 20% ที่เหลือเป็นส่วนของอุปกรณ์โทรศัพท์ส่วนโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้มีเพียงระบบ
CDMA ซึ่งเมืองไทย ยังไม่มีการพัฒนาโครงข่ายจึงยังไม่นำเข้ามา"
การเข้ามาในไทยถือเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เพราะก่อนหน้านี้โอกิมีบริษัทสาขาอยู่แล้วในสิงคโปร์
ในขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนที่ผ่านมาโอกิก็ไปเปิดสำนักงานสาขาแห่งใหม่อีกแห่งที่กัวลาลัมเปอร์
ในมาเลเซีย เมื่อนับรวมบริษัทในไทยก็ถือว่าโอกิมีเครือข่ายในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ค่อนข้างสมบูรณ์
"ปัจจุบันเรามีสำนักงานตัวแทนทั้งสิ้น 8 แห่ง และบริษัทสาขา 19 แห่งครอบคลุมทั่วโลก
อย่างในเอเชียเอง เรามีสำนักงานที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ไต้หวัน กรุงเทพฯ และกัวลาลัมเปอร์"
โดยเฉพาะบริษัทในไทยเองนอกจากดูแลรับผิดชอบด้านการตลาด การขาย และการบริการในเมืองไทยแล้ว
ยังรับหน้าที่ดูแลตลาดประเทศในแถบอินโดจีน ได้แก่ เวียดนาม พม่า เขมร และลาว
ก่อนที่จะขยับขยายตั้งเป็นสำนักงานตัวแทนในประเทศเหล่านี้ต่อไป
นอกจากบริษัทที่เพิ่งเปิดไปนั้น โอกิยังมีโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองไทยทั้งหมด
4 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท โอกิ (ประเทศไทย) ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี'33
ประกอบด้วยโรงงาน 3 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการผลิต IC, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Device), พรินเตอร์, แฟกซ์, และหัวพิมพ์เทคโนโลยี LED ส่วนโรงงานอีกหนึ่งแห่งอยู่ในจังหวัดลำพูน
ดำเนินการผลิตหัวพิมพ์ 24 เข็มระบบ Dot Matrix (Print Head) และ Motor Oscillators
สำหรับเครื่องพิมพ์เลเซอร์พรินเตอร์ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะใช้เพื่อการส่งออกทั้งหมด
เครือข่ายทั้งหมดของโอกิในประเทศไทยก็นับว่าไม่น้อย เมื่อเขามั่นใจอย่างนี้ก็ทำให้เราใจชื้นขึ้นได้ว่า
จะมีบริษัทอื่นๆ ทยอยกันเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจากประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งถือว่าเป็นคนเอเชียด้วยกันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันพอสมควร เขาเข้ามาทำประโยชน์เราก็ยินดีต้อนรับ
อย่างน้อยก็เป็นการคานอำนาจทุนมหึมาของบริษัทฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลาย ที่คอยแต่จะหาผลประโยชน์จากประเทศเอเชียมากกว่าจะสนับสนุนอย่างจริงจัง
ในขณะที่ญี่ปุ่นเองแม้จะเป็นพี่เบึ้มของเอเชีย แต่ก็เข้ามาอย่างนอบน้อม น่าสนับสนุนและน่ายินดีที่เขาเข้ามา
ก่อนจบการแถลงข่าว กรรมการบริหารอาวุโสท่านหนึ่งของโอกิ อิเลคทริค อินดัสทรี
ยังได้โปรยยาหอมจนเคลิ้มว่า "เรามุ่งเน้นการทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย และคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถ้าพิจารณาจากประชากร ความมั่งคั่งของทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคงทางการเมือง
และการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ ถึงแม้สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจปัจจุบันในประเทศไทยจะไม่ดีนัก
แต่เราก็เชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้เศรษฐกิจจะกลับมาดีดังเดิม เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคงของประเทศ"
ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้และรีบเข้ามาลงทุนในประเทศของเราเร็วๆ ก็ดีนะสิ!!