ไม่รู้ว่า สุรัสวดี จามพันธ์ คิดถูกหรือคิดผิดที่เมื่อปีที่แล้วเธอตัดสินใจลาออกจากบริษัทริชาร์ด
เอลลิส บริษัทตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ข้ามชาติซึ่งเธอทำมานานถึง
7 ปี มารับผิดชอบการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ ให้กับกลุ่ม ที.ซี.ซี. โฮลดิ้งของ
เจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ตะลุยเทกโอเวอร์โครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างหนักหน่วงในช่วงปี
2537 ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายกำลังจับตามองในตอนนี้
สุรัสวดีบอกว่าเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจลาออกเพราะมองว่างานในกลุ่มของที.ซี.ซี.โฮลดิ้งน่าท้าทาย
มีโครงการพัฒนาที่ดินหลายรูปแบบทั้งออฟฟิศบิลดิ้ง ศูนย์การค้า และที่อยู่อาศัย
ซึ่งหากยังอยู่ที่บริษัทที่ริชาร์ด เอลลิสนั้น เธอจะรับผิดชอบงานขายเฉพาะทางด้านออฟฟิศบิลดิ้งอย่างเดียวเท่านั้น
โครงการแรกที่เธอต้องรับผิดชอบหลักทางด้านการขาย ให้กลุ่มที.ซี.ซี.โฮลดิ้งนั้นก็คือ
ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ออฟ-ฟิศบิลดิ้งสูง 62 ชั้น ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ 3.5
แสนตารางเมตร เป็นออฟฟิศบิลดิ้งที่มีพื้นที่มากที่สุดในกรุงเทพ มหานคร ตั้งอยู่บนถนนสาธร
บริเวณสี่แยกถนนสาธรตัดกับถนนตัดใหม่ช่องนนทรี ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นตึกที่มีศักยภาพที่ดีมากตึกหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ สมัยที่ยังทำงานอยู่กับบริษัทริชาร์ด เอล-ลิส สุรัสวดีเคยมีประสบการณ์
และผลงานในการขายตึกใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯมาแล้วหลายโครงการเช่น ตึกดีทแฮล์ม ทาวเวอร์
บนถนนวิทยุ อาคารสินธร 3 อาคารไทยวา อาคาร ทิปโก้ และในปัจจุบันนอกจากจะรับผิดชอบหลักในโครงการเอ็มไพร์ทาวเวอร์แล้ว
ยังขายพื้นที่ในโครงการโอเรียน เต็ลเพลส ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่สวยงามและคลาสสิกมากโครงการหนึ่งของกลุ่มที.ซี.ซี.โฮลดิ้ง
เอ็มไพร์ทาวเวอร์เป็นโครงการที่เสี่ยเจริญ เทก โอเวอร์มาจากบริษัทไทยฮ่องกง
เรียลเอสเตท เมื่อประมาณ ปี 2537 ตัวตึกนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ประมาณปี
2534 เป็นตึกโครงสร้างเหล็กที่สูงที่สุดในประเทศไทย ต่อมาการก่อสร้างได้หยุดไปพักหนึ่งด้วยปัญหาของเจ้าของโครงการเอง
แต่หลังจากถูกเทกโอเวอร์การก่อสร้างก็คืบหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินของเจริญ
จนขณะนี้กำลังติดตั้งระบบ ลิฟต์ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 52 ตัวและจะติดตั้งเสร็จประมาณ
เดือนสิงหาคม 2541 และจะเปิดตึกที่มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาทนี้ได้อย่างแน่นอนในปลายปีนี้
เจริญเองซื้อตึกหลังนี้มาพัฒนาต่อด้วยความมั่นใจว่าเป็นตึกที่ดีไม่น่าจะมีปัญหาทางด้านการขาย
ประกอบกับทางกลุ่มที.ซี.ซี.โฮลดิ้งเองในขณะนั้นก็กระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ
นั้น ควรจะมีอาคารสำนักงานใหญ่เป็นของตนเองเพื่อความสะดวกในการบริหารงานเช่นกัน
ในวันนี้แม้ว่างานก่อสร้างคืบหน้าไปมาก แต่งานทาง ด้านการขายที่ได้วางแผนรุกมาตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น
ก็ประสบปัญหาทางด้านการขายบ้างพอสมควร เช่นเดียวกับการขายพื้นที่ออฟฟิศบิลดิ้งโดยทั่วไป
และนอกจากทีมงานขายของสุรัสวดีเองแล้ว ยังมีทางบริษัทริชาร์ด เอลลิส เข้ามาช่วยขายอีกทางด้วย
"ความยากของการขายตึกขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายจริงๆ"
สุรัสวดียอมรับ
แต่อย่างไรก็ตามเธอหวังว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น จุดเด่นหลายๆ ประการของโครงการนี้จะเป็นต่อโครงการอื่นๆ
แน่นอน เช่น 1. เป็นโครงการที่มีพื้นที่สำนักงานใหญ่มากประมาณ 3,300 ตารางเมตรต่อชั้น
ไม่มีเสาอยู่ตรงกลาง เปิดเป็นที่โล่งกว้าง ทำให้จัดห้องได้ง่าย 2. เป็นจุดที่มีทำเลที่ดีมากเพราะอยู่ใจกลางศูนย์ธุรกิจที่ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วนขั้นที่
1 และขั้นที่ 2 และ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 3. มีระบบการสื่อสารที่ทันสมัยเตรียมไว้รองรับอย่างเพียงพอในอนาคต
4. ระบบความปลอดภัยในเรื่องอัคคีภัยได้ถูกติดตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
"ลูกค้าที่สนใจโครงการนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการพื้นที่มาก
มีทั้งกลุ่มนักลงทุนชาวไทย และต่างประเทศ"
สำหรับราคาขายจะกำหนดไว้ที่ราคาประมาณ 400 บาทขึ้นไปต่อตารางเมตร บริษัทในเครือที.ซี.ซี.โฮลดิ้งจะใช้พื้นที่ตึกเพื่อพนักงานของบริษัทต่างๆ
ในเครือประมาณ 2.5 หมื่นตารางเมตร หรือประมาณ 7 ชั้น
ถ้าหากผ่านไปบนถนนสายนี้จะเห็นได้ว่าบนถนนสาธร กำลังมีโครงการตึกสูงที่กำลังก่อสร้างนับ
10 โครงการ แต่มีหลายโครงการเหมือนกันที่มีวี่แววว่ากำลังมีปัญหา เพราะหยุดการก่อสร้างมานับเดือนแล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้าพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่บนถนนสายนี้ต้องมีตัวเลขที่น้อยลงแน่นอน
โอกาสของตึกใหญ่สมบูรณ์ แบบอย่างเอ็มไพร์ทาวเวอร์ จึงยังไม่น่าเป็นห่วง ถึงแม้ต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม
เพราะสงครามเศรษฐกิจในครั้งนี้ที่เป็นปัญหาในเรื่องการขาย อาจจะยืดเยื้อกว่าที่คิด
สุรัสวดีเองก็คงต้องอดทนคอย