ไทยใช้เวที WORLD DIAMOND CONGRESS สู่การเป็นศูนย์กลางค้าเพชรโลก


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังจากใช้เวลาแต่งตัวนานกว่า 3 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมอัญธานี (GEMOPOLIS) ตลอดจนจัดตั้งสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศแห่งกรุงเทพมหานคร และตลาดกลางการค้าเพชรและอัญมณีระหว่างประเทศแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ BDPE (BANGKOK DIAMONDS AND PRECIOUS STONES EXCHANGE)

ในที่สุดอุตสาหกรรมอัญมณีไทย ก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นสมาชิกน้องใหม่ของสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก หรือ WFDB (WORLD FEDERATION OF DIAMOND BOURSES) ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น 21 ราย

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังได้รับการอนุมัติจาก WFDB ให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน WORLD DIAMOND CON-GRESS ครั้งที่ 28 ขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 26-29 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยมีสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรและ BDPE เป็นหัวหอกในการจัดงาน ภายใต้ความร่วมมือสนับสนุนจากสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก และสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศ รวมทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

"สินค้าทุกอย่างต้องมีการทำงานของภาคการผลิตและภาคการตลาดที่ควบคู่กันไปเสมอ และนี่คือเหตุผลที่การประชุมเรื่องเพชรโลกจึงต้องมีหน่วยงานสองส่วนนี้มาประชุมกันเป็นประจำทุก 2 ปี คือ ผู้แทนจากสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศ (ภาคการผลิต) และสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก (ภาคการตลาด) และงานนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากว่าสมาคมเจียระไนเพชรและตลาดกลางการค้าเพชรของเรายังไม่เกิด และทั้งสององค์กรนี้ต้องเป็นสมาชิกของโลกด้วย จากนั้นที่ประชุมใหญ่ของ โลกจะต้องมองเห็นความพร้อมและความเหมาะสมในการจัดงานได้ เขาจึงอนุมัติให้ไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้" ดร.สวราช สัจจมาร์ค รองประธาน BDPE กล่าวในฐานะหนึ่งในแกนนำผู้ผลักดันให้เกิดงานประชุมเพชรโลกขึ้นที่ประเทศไทย

สำหรับผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการจัดงานครั้งนี้เรียกว่ามีแต่คุ้มกับคุ้ม หากเปรียบก็คงเปรียบได้กับการช่วงชิงการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ที่จะจัดขึ้นในปีนี้ที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน ต่างแต่เพียงงานหลังนี้ต้องใช้กำลังภายในชนิดที่เลือดออกซิบๆ ทีเดียว

ประโยชน์ประการแรกที่ประเทศไทยจะได้รับจากการจัดงานครั้งนี้คือ เป็นการขยายฐานการส่งออกเพชรและอัญมณีของไทยไปสู่ตลาดใหม่ๆ รวมทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักธุรกิจนานาประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนร่วมกันในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น ผลทางอ้อมที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้ต้องการผลักดันให้เกิดขึ้นก็คือ เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยออกสู่สายตาชาวไทยและชาวโลก ให้ได้รับรู้ถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรและอัญมณีที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งของโลก

"การที่เราจัดงานทั้งหลายขึ้นมา เป็นความพยายามที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ เพราะในเวลานี้รู้กันเฉพาะคนในวงการธุรกิจอัญมณีเท่านั้นว่าฝีมือคนไทยทัดเทียมระดับโลก ส่วนคนที่อยู่นอกธุรกิจยังไม่รู้ แม้กระทั่งคนไทยด้วยกันเองที่ยังมีความเข้าใจผิดๆ ว่า ซื้อเพชรดีมีคุณภาพต้องซื้อจากต่างประเทศ หารู้ไม่ว่าเพชรเหล่านั้นแหละมาจากฝีมือคนไทย" พิเชษฐ รมหุตติฤกษ์ ชี้แจงในฐานะเลขาธิการ BDPE ผู้เป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดงานนี้

นอกจากนี้ ดร.สวราช ได้เสริมว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงในการเจียระไนเพชรเม็ดเล็กขนาดประมาณ 2-5 สตางค์เป็นอันดับหนึ่งของโลก จนถึงขั้นที่มีการเรียกวิธีการเจียระไนเพชรของไทยว่าเป็น "BANGKOK CUT" เลย ทีเดียว และผู้ซื้อรายใหญ่ของไทยก็คือ เบลเยียม "แสดงว่าเราผลิตแล้วเขามาซื้อไปขายที่นั่น และคนทั่วโลกก็ไปซื้อจากที่นั่น รวมทั้งคนไทยด้วย และพร้อมใจกันบอกว่า เป็นเพชรจากเบลเยียม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะเพชรนั้นไม่ว่าจะขุดได้จากที่ไหนในโลกก็ตาม จะต้องมารวมกันที่บริษัท เดอ เบียส์ จากนั้นเดอ เบียส์ ก็จะคัดเกรดตามขนาดตามคุณภาพและขายผ่านเอเยนต์ไปยังผู้ผลิตอีกที ฉะนั้นหากจะกล่าวกันตามจริงก็คือ เพชรมาจากแหล่งเดียวกันเป็นหลักคือมาจากเดอ เบียส์ นั่นเอง"

ปัจจุบัน ผู้ผลิตและส่งออกเพชรรายใหญ่ของโลกมีด้วยกัน 4 ประเทศ คือ เบลเยียม อิสราเอล นิวยอร์ก อินเดีย และไทยกำลังจะกลายมาเป็นประเทศที่ 5 หากได้รับความร่วมมือกันพัฒนาและสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้และต่อเนื่องไปในอนาคต

"สำหรับศักยภาพความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรของโลกนั้น ประเทศไทยไม่ได้มีอะไรที่ด้อยกว่าศูนย์เพชรใหญ่ๆ ของโลก เช่น เบลเยียมหรืออิสราเอลเลย ทั้งสองประเทศนี้เขาก็ต้องนำเข้าวัตถุดิบเหมือนเรา แต่ค่าแรงและค่าโสหุ้ยเขาแพงกว่าเรามาก ส่วนในเรื่องของการขนส่งก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราเลย ฉะนั้นหากพิจารณากันจริงๆ เราไม่มีอะไรที่เสียเปรียบเขาเลย แล้วทำไมเราถึงจะเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตเพชรของโลกไม่ได้" พิเชษฐกล่าว

และมุมมองของดร.สวราชยิ่งเป็นการยืนยันว่าประเทศ ไทยเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรของโลก กล่าวคือ "ภูมิประเทศของประเทศไทยเอื้อให้สามารถมีสายการบินหลักที่บินมาประเทศไทยแบบ NON-STOP ได้ เช่น บินตรงจากปารีส จากลอนดอน หรือบราซิล เป็นต้น และการค้าของประเทศไทยเป็นรูปแบบการค้าเสรี มีกฎกติกาเป็นที่ทราบกันโดยสากล และข้อได้เปรียบยิ่งกว่าประเทศอื่นก็คือ สังคมไทยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือรังเกียจคนต่างชาติ ประกอบกับบรรยากาศด้านอื่นๆ ของประเทศก็เอื้อต่อการประกอบพาณิชยกรรม อาทิ ค่าโรงแรมไม่แพง เดินทางสะดวก อาหารอร่อย ที่เที่ยวเยอะ ใครมาก็ติดใจทั้งนั้น คุ้มจะตายมาลงทุนในเมืองไทย ฉะนั้น ในเมื่อทุกอย่างดี เราก็ค่อยๆ ทำให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นว่า ทำไมต้องไปลงทุนที่ประเทศอื่นมาที่ประเทศไทยสิดีกว่า และเมื่อประเทศไทยมีการค้าขายกันมากขึ้น สินค้าวัตถุดิบก็จะผ่านมาที่นี่มากขึ้น เราก็มีโอกาสในการเลือกคุณภาพวัตถุดิบได้ดีและหลากหลายแบบมากขึ้น การแข่งขันก็สูงขึ้นในที่สุดก็จะมีการควบคุมราคากันตามกลไกเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการสร้างงานให้กับคนไทยอีกด้วย เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ไม่ต่ำกว่า 6 แสนคนต่อปี และคิดเป็นเม็ดเงินที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไม่ต่ำกว่าปีละแสนล้านบาท"

อย่างไรก็ดี แม้ไทยจะมีศักยภาพความพร้อมอยู่มาก แต่การดำเนินการต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากปัจจุบันค่าแรงของเพื่อนบ้านถูกกว่ามาก ฉะนั้นจากการที่เคยสบายใจกับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าและคุณภาพต่ำ จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนและยกเลิกให้ประเทศอื่นผลิตแทน และหันมามุ่งเน้นพัฒนาผลิตสินค้า ระดับกลางและระดับสูงให้มากยิ่งขึ้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.