เหล้าเก่าในขวดใหม่ของ วีระวรรณ งุ่ยอัครมหาวงศ์


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

วีระวรรณ งุ่ยอัครมหาวงศ์ ทายาทสาวคนเก่งของแสงชัยและบุหงา งุ่ยอัครมหาวงศ์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนักเปียโนชื่อดัง ผู้ปฏิเสธการทำงานกับครอบครัว หลังจากที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานกับธุรกิจของพ่อได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลที่ว่า "การทำธุรกิจส่วนตัว เป็นลูกเจ้าของธุรกิจ เราจะเป็นนายใหญ่ที่สุด ทำให้เราไม่ได้เรียนรู้อะไร ดีๆ แต่การที่เราทำงานกับคนอื่น โดยเริ่มจาก พนักงานธรรมดาและค่อยๆ ไต่เต้าไป เราจะได้เรียนรู้ว่า เราประสบความสำเร็จได้อย่างไร การเป็นหัวหน้างานที่ดีเป็นอย่างไร เพราะเราเคยเป็นลูกน้องมาก่อน เราเกลียดอะไรก็อย่าพยายามทำกับลูกน้องอย่างนั้น ซึ่งบทเรียนเหล่านี้เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง" จากนั้นเธอจึงทำงานกับคนอื่นมาตลอด โดยที่ที่เธอใช้เวลาอยู่ด้วยนานที่สุดคือ ที่บริษัท อเมริกัน เอ็กซเพรส (ประเทศไทย) หรือ AMEX ตั้งแต่ช่วงปี 1981-1995

และเมื่อสองปีที่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ได้ตัดสินใจลาออกจาก AMEX ที่ซึ่งเธอสั่งสมประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี ภายหลังจากที่ได้รับการทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่ง NATIONAL SALES & MARKETING MANAGER ที่DHL ผู้ประกอบธุรกิจบริการขนส่งทางอากาศรายใหญ่ของประเทศไทย จากบุคลิกที่โดดเด่นของเธอที่ไปเข้าตาโทนี่ สโลน ผู้จัดการทั่วไปของ DHL สาขาประเทศไทย เมื่อครั้งที่เธอเข้าไปขายคอร์ปอเรตการ์ดของ AMEX ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะเริ่มมาจับงานด้านการขายการตลาด 4 ปีหลังของการทำงานที่ AMEX เอง เดิมเธอรับผิดชอบงานวิเคราะห์เครดิต ซึ่งเป็นงานเอกสารที่อยู่แต่ในออฟฟิศไม่ต้องออกไปพบลูกค้ามาร่วม 10 ปี จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกอยากทำงานทางด้านการตลาดบ้าง เพราะจะได้ออกไปพบปะพูดคุยกับลูกค้า และขายของที่ดีมีคุณภาพแก่ลูกค้า ซึ่งเธอเข้า กับหน้าที่ใหม่ได้อย่างดี เนื่องจากเธอมีประสบการณ์ในการวิเคราะห์ลูกค้ามาก่อนแล้ว ทำให้เธอรู้จุดอ่อนจุดแข็งในการเข้าไปคุยกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ตอนแรกพี่ไม่ได้สนใจธุรกิจนี้เลย เพราะพี่อยู่สายแบงก์สายการเงินมาตลอด แต่พอมาคุยกับเจ้านายที่นี่แล้ว รู้สึกว่าภาคส่งออกของเรามีอนาคตที่ดี ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไทยยังไม่มีปัญหาอะไรเลย ประกอบกับที่นี่เขาลงทุนระยะยาวกับเมืองไทย พี่ก็เลยตัดสินใจมาร่วมงานกับเขา ซึ่งโชคดีมากเลย เพราะหากยังอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าจะยังคงมีงานทำอยู่หรือเปล่า ตอนนั้นถ้าตัดสินใจช้าก็เสียโอกาสไปเลย"

การตัดสินใจครั้งนั้นของเธอทำให้ทุกวันนี้เธอกลายเป็นเบอร์ 2 ของที่แห่งใหม่ทันที นับว่าเป็นจังหวะเปลี่ยนที่ดีของชีวิตเธอทีเดียว เพราะเธอย้ายงานก่อนที่เศรษฐกิจของประเทศจะฟุบ เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตการงานของเธอยิ่งขึ้น ซึ่งหากเธอยังอยู่ AMEX เธอคงต้องประสบปัญหาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ส่งผลถึงการใช้จ่ายของลูกค้า ทำให้มีลูกค้าบัตรเครดิตรายใหม่ๆ ลดน้อยลง

แม้ว่ารูปแบบลักษณะการดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทจะแตกต่างกันคือ AMEX เป็นธุรกิจบัตรเครดิตที่เกี่ยวกับการเงิน ส่วน DHL เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก-นำเข้า แต่ทั้ง 2 ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจบริการเหมือนกัน ดังนั้นวีระวรรณจึงไม่ต้องปรับตัวมากนักในแง่ของลักษณะงานขายที่เธอมีประสบการณ์กว่า 4 ปีที่ AMEX แต่สิ่งที่กดดันเธอเหมือนเดิมก็คือ ยอดขายที่เธอต้องคุมเข้มทีมขายของเธอให้เป็นไปตามเป้า

ปัจจุบัน วีระวรรณต้องดูแลทีมขายและการตลาดของเธอที่มีอยู่ประมาณ 50 ชีวิตทั่วประเทศ ด้วยเงื่อนไขที่ว่า "คนที่จะมาทำงานขายได้จะต้องเป็นคนที่มีใจรักในงานบริการ เพราะงานขายเป็นงานที่ยากที่สุด ถือเป็นด่านแรกที่ต้องเจอกับลูกค้าที่มีหลากหลายแบบ และลูกค้าจะไม่มีวันผิด เราจะต้องเป็นผู้รับผิดก่อน ฉะนั้นคนที่ทำงานนี้ได้ต้องมีความอดทนสูง และรักที่จะทำงานนี้จริง"

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของ DHL อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยในไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากศูนย์บริการ ที่มีอยู่รอบกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ สุขุมวิท สีลม บางนา ธนบุรี ท่าอากาศยาน ดอนเมือง แหลมฉบัง เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ สงขลา และอุดรธานี นอกจากนั้นทางบริษัทฯ ยังมีแผนขยายศูนย์บริการเพิ่ม ขึ้นอีก โดยกำลังพิจารณาที่ระยอง ขอนแก่น และภูเก็ต ส่วนที่โคราชจะเปิดแน่นอนภายในปีนี้

"เราต้องการรักษาความเป็นผู้นำตลาดของเราไว้ โดยต้องการให้ลูกค้านึกถึง DHL เป็นอันดับแรก หากต้องการใช้บริการขนส่งด่วนทางอากาศ ซึ่งเรายังคงเน้นการบริการที่ครบวงจร DOOR TO DOOR รวมทั้งมีระบบติดตามผลงานให้ตรงเวลาด้วยเครื่องมือ CUSTOMER PREMISES และ ON TIME TRACK & TRACE SHIPMENTS SYSTEMS พร้อมเจ้าหน้าที่ของ DHL คอย ให้บริการ 24 ชม." วีระวรรณกล่าวถึงเป้าหมายโดยรวมของบริษัท ที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในไทยที่มีอยู่กว่า 50% ไว้

ในปีนี้บริษัทฯ ได้อัดแคมเปญพิเศษหลายแคมเปญด้วยกัน อาทิ แคมเปญ OVER NIGHT SERVICE สำหรับสินค้าที่ส่งเข้าอเมริกา เอเชีย และยุโรป โดยลูกค้าต้องส่งของมาถึงบริษัทฯ ก่อน 5 โมงเย็นของทุกวัน ซึ่งของจะถึงมือผู้รับภายใน 24 ชม. และเนื่องจากอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยในปัจจุบัน DHL จึงออกแคมเปญล่าสุดคือ USA FIRST สำหรับสินค้าที่ต้องการส่งเข้าอเมริกาในราคาพิเศษ เช่น สินค้าที่บรรจุในกล่องจัมโบ้จูเนียร์ขนาด 10 กิโลกรัม จากราคาปกติประมาณ 3,000 บาท ก็ลดลงเหลือ 2,500 บาท และกล่องมาร์เธอร์ จัมโบ้ขนาด 25 กิโลกรัมคิดที่ราคา 3,500 บาท เป็นต้น รวมทั้งมีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าเป็นของขวัญพิเศษ ที่จะได้รับตามขั้นบันไดของรางวัลตามมูลค่าที่ใช้บริการ

นอกจากนั้น DHL ยังมีโปรแกรมIMPORT EXPRESS สำหรับรับสินค้าขาเข้า ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้มีการพัฒนาระบบ ELECTRONIC DATA INTER CHANGE กับทางกรมศุลกากรให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถเปิดบัญชีเดียวกับทาง DHL ได้ทันที แม้จะมีหลายซัปพลายเออร์ก็ตาม และ DHL จะรับหน้าที่เคลียร์ทุกอย่างให้ โดยลูกค้ามีหน้าที่ในการจ่ายเงินและรอรับสินค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

วันนี้วีระวรรณยังสนุกอยู่กับการทำงานร่วมกับคนอื่น แต่วันหนึ่งข้างหน้า หากเธอสั่งสมประสบการณ์และฝึกปรือวิทยายุทธ์จนเป็นที่พอใจแล้ว เธอจะต้องกลับไปรับช่วงบริหารงานจากพ่อของเธอต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.