ทางเลือกใหม่ของชีวิต


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

ท่านผู้อ่านคงแปลกใจว่า ทำไมผมจึงเลือกเขียนถึงหนังสือพ็อกเกตบุ๊คฉบับเล็กๆ ชื่อหนังสือคือ ทางเลือกใหม่ของชีวิตมีสร้อยต่อว่าสมัยโลกาภิวัตน์

อย่าแปลกใจเลยครับว่าอาจารย์วินิจฉัยเป็นคนที่ผู้รู้จักแล้วก็เคารพนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่ ท่านใช้ชีวิต 20 ปี แรกจนก้าวเป็นเศรษฐี แล้วอีก 20 ท่านไปเป็นนักรบในเกมความรัก แต่ท้าย ที่เหลืออีก 20 ปี ท่านแปรรูปไปนักจรยุทธ์ ทางจริยธรรมไปเสียแล้ว

แค่คำอุทิศก็น่าสนใจตรง ที่ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้อุทิศให้ผู้หญิง ที่เป็น "เมีย" ของคนในโลก ที่ท่านชี้ว่าสูญเสียอิสรภาพ และความเสมอภาคมาร่วม 8,000 ปี ด้วยระบบทาส

คุณวินิจฉัยเคยก่อปรากฏการณ์อื้อฉาว โดยการเขียนเรื่อง "แม่" ยาว 30 หน้า ลงพิมพ์ในหนังสืองานศพของแม่ วิเคราะห์ว่า แม่ของท่านไม่มีความสุขทางเซ็กซ์ ที่น่าสนใจคือ ตอน ที่เขียนหนังสืองานศพ คุณวินิจฉัยเป็นเพลย์ บอยยุคต้นๆ (2510) เป็นเศรษฐีขี่รถเมอร์ซิเดส ใช้ชีวิตเริงรมย์ด้วยการมีระดับครับ

หลักใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ ยิ่งน่าสนใจเพราะเป็นการวิเคราะห์การดำเนินชีวิต ที่ผิดพลาด รวยเร็ว รุ่ง ร้อนแรง และร่วง บทเรียนอย่างคุณวินิจฉัยนี้แหละน่าจะศึกษากันในยุคโลกาภิวัตน์ ยุคฟองสบู่ ที่ชีวิต และชีวทัศน์ของคนกลุ่มหนึ่งก็รวยเร็ว, รุ่ง, ร้อนแรง แล้วร่วงระนาวทั้งโขยงเพราะความพินาศไปของเศรษฐกิจฟองสบู่

คุณวินิจฉัยกล่าวใน "ความปรารถนา" ของผู้เขียนว่า วิถีชีวิตของคน รุ่นใหม่ ที่กำลังเดินอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เดินมาตามรอยเดียวกับทางวิบัติแบบ ที่ตนเคยเดินมาแล้ว แต่การลุกขึ้นใหม่อย่างมีเป้าหมาย มีปรัชญา (เอเอ็มของคุณวินิจฉัย) จะทำให้เกิดการแสวง หาความสว่างไสวในใยเล็กๆ ที่เหลือแห่งชีวิต พลิกกลับไปสู่การวางรากฐาน ที่แกร่งขึ้น

คุณวินิจฉัยนั้น อายุก้าวล่วงไป 70 ปีแล้ว

ปรมาจารย์อย่างอดีตเอกอัครราช ทูตฯ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ได้เขียนบทนำให้ และกล่าวถึงเพดานทางวัฒนธรรม ซึ่งโยงไปถึงการกำหนดมาตรฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคน คำนำนี้น่าอ่าน มาก เช่นเดียวกับมีบทกวีเกริ่นนำจากคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มิตรผู้น่ารักน่าคบของผมช่วยเขียนสัจธรรมของชีวิตให้ก็น่าชวนให้เราคิดได้ว่า เนื้อในของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจอย่างไร

เรื่องแรกว่าด้วยอริยสัจ 8 ก็สนุก แล้ว ถ้ามีทุกข์ 4 ก็ต้องมีอีกคู่ด้านตรงข้าม คือ สุข 4

และเรื่องชาติหน้า ท่านว่าชาติก่อนเราก็พ่อแม่ ชาติหน้าก็ลูกของเรา

คิดเหมือนผม คือ กรรมทางสรีระ รูปนามเราผ่านกรรมพันธุ์ และการถ่ายพันธุ์นั้น "กรรม" ติดไปด้วย

ท่านยังเขียนว่ามนุษย์บางเผ่าสูญพันธุ์ไป ก็คือ ปรินิพพานไปแล้ว อ่าน แล้วสนุก เพราะผู้อ่านจะคิดอีกด้านหนึ่ง ของการรับรู้

โลกาภิวัตน์ของท่านวินิจฉัยมีนัยว่า โลกาภิวัตน์ยังวิวัฒน์หรืออภิวัฒน์ ต่อไปเรื่อยๆ เนื้อแท้ของมันคือ การแผ่ซ่านเข้าครอบครองทรัพยากรโลกโดยชอบธรรม ด้วยอำนาจขององค์กรทุนระหว่างประเทศ

วิถีชีวิตของคนในกระแสครอบงำคือ พึ่งพิงชีวิตด้วยวัตถุ

คนไทยนั้น เป็นฟองสบู่ก็เพราะเป็นโลกาภิวัตน์ ฝ่ายรับฝ่ายถูกกลืน และ โดนกินรวบทั้งชาติแบบนี้แหละ

ท่านผู้เขียนมีความคิดว่าตราบใด ที่เรายังมีคติพจน์ประเภทชูคำขวัญ "ไม่นับถือก็อย่าลบหลู่" ละก็ การปฏิรูประบบการศึกษา และประชาธิปไตย ที่แท้เป็นแค่การเพ้อฝัน

เรื่องเหล่านี้ฟันธงลงไปเลยว่าเราเป็นพุทธแบบไหนกันแน่

และปัญหาอื่นๆ ไม่ต้องพูดไล่ไป ตั้งแต่การจัดการ การบริหารทุน ฯลฯ เรา กำลังมีเนื้อแท้ "ทางความคิด" อย่างไร ความคิด ที่ผิดนำไปสู่ วิธีการที่ผิด วิธีการที่ผิดนำไปสู่การจัดการที่ผิด การจัดการที่ผิดนำไปสู่การบริหาร ที่ผิด กระทั่งวิธีการแก้ความผิดด้วยระบบคิด ที่ผิด ก็นำไปสู่การล่มสลายอย่างเบ็ดเสร็จ

พุทธแบบจับปลายังไม่ตายส่งให้ภัตตาคารทอดกินนั้น ไม่บาปก็เป็นอีกวิธีคิด ที่ผิดในเรื่องสาระของสิ่งที่เราถือเป็นหลักศาสนา

เราอยู่ในอุปาทาน ในศาสนาประจำชาติ ที่ให้เราทิ้งอุปาทาน และเผชิญหน้าด้วยสัจจะ

สังคมไทยขาด "การเรียน เพื่อรู้" แต่เรามีการเรียนรู้ เพื่อไม่รู้จริงเสียมาก

เรากำลังเผชิญอยู่ต่อหน้าวัฒนธรรมทางวัตถุมากขึ้นทุกวัน

การเรียน เพื่อรู้ของสังคมไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ในบทว่าด้วย "ชีวิตคนล้มแล้วลุกยาก" ท่านให้สัจธรรมเกี่ยวกับวิบากกรรมแท้ๆ

ทั้งเล่มของหนังสือเขียนเรื่องด้วยประสบการณ์ เพื่ออ่านให้ได้รสสนุก โดยแฝงให้เราคิดมุมกลับของบรรทัด ฐานในสังคม กระทั่งคำพูดของอดีตประธานาธิบดี ที่คนยกย่องโดยไม่เฉลียว เนื้อแท้ก็เป็นคำพูดผิดตำแหน่งผิดหน้าที่ ไปหมด เป็นต้น

สำหรับคนรุ่นเก่าหรือนักบริหารรุ่นใหม่ สัจธรรมย่อมเหมือนกัน ความคิด ที่เราได้รับอิทธิพลอยู่ จะปล่อยให้คิด แล้วไม่ย้อนดูเนื้อแท้ไม่ได้ เข้าใจวิธีการบริหารอย่างหนึ่งก็จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อใน ของวิธีการอื่น ด้วยการคิดคนละด้านดูบ้าง

เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้อยู่ ที่การอ่านหนังสือ เหมือนผู้เขียนมานั่งคุยด้วย คือ ผมคิดเช่นนั้น จริงๆ

สิ่งที่สำคัญ ที่ผมแนะให้อ่านเพราะเป็นหนังสือ ที่ให้แง่คิดด้วยมุมมองความต่าง

วิธีคิด, มุมมอง นี้แหละสำคัญที่สุดในปัจจุบัน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.