ดร.ประทิต สันติประภพ ลูกชายของอดีตอธิบดีกรมตำรวจ ที่ไม่ยอมเดินตามรอยผู้เป็นพ่อ
เพราะความชอบวิทยาศาสตร์และคำนวณ แต่วันนี้เขากำลังเพิ่มบทบาทของนักวิชาการมาเป็นนักธุรกิจไอที
ที่กำลังฝากผลงานไว้ในหลายหน่วยงานราชการ
ถึงแม้ว่าชื่อของบริษัทฟอร์ยู อินโฟร์ซิส และบริษัทฟอร์ยูซิสเท็กซ์ อาจจะไม่คุ้นหูเหมือนกับบริษัทคอมพิวเตอร์รายใหญ่ๆ
ที่ทำธุรกิจค้าขายและให้บริการกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แต่หากดูรายชื่อของลูกค้าที่อยู่ในมือของบริษัทแห่งนี้แล้ว คงต้องบอกว่าไม่ธรรมดาไล่เลียงมาตั้งแต่โครงการซี
3 ไอ และโพลิส สองโครงการอันโด่งดังของกรมตำรวจ ซึ่งบริษัทฟอร์ยูอินโฟร์ซิสได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษาในการกำกับดูแล
และตรวจรับระบบงานทั้งสองให้กับกรมตำรวจ นอกจากงานในการเป็นที่ปรึกษาแล้ว
บริษัทฟอร์ยูซิสเท็กซ์ ซึ่งทำธุรกิจให้บริการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ยังได้รับเลือกให้เป็นผู้ติดตั้งระบบไอทีที่ใช้ในศูนย์บัญชาการของกรุงเทพมหานคร
(กทม.) และงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
ล่าสุด บริษัทฟอร์ยูอินโฟร์ซิสยังได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษา ในการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับกระทรวงยุติธรรมและศาล
แผนแม่บทไอทีของกระทรวงยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดของรัฐบาล ที่ต้องการให้ส่วนงานราชการระดับกระทรวงมีแผนแม่บทไอที
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับหน่วยงานในสังกัด ซึ่งกระทรวงยุติธรรมนับว่าเป็นกระทรวงแรกๆ
ที่มีแผนแม่บทไอทีใช้
สำหรับแผนแม่บทที่บริษัทฟอร์ยูอินโฟร์ซิสจัดทำขึ้นนี้ใช้เวลาทำ 8 เดือน
ครอบคลุมงานทางด้านโครงสร้างและหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมและศาล การศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของขบวนการและวิธีการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ
การออกแบบและวางมาตรฐานของไอทีที่จะใช้ในกระทรวงยุติธรรมและศาล นอกจากนี้ยังต้องกำหนดรายละเอียดทางเทคนิคและระบบงานทางไอทีและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
และลำดับความสำคัญของระบบงาน ระยะเวลา และค่าใช้จ่าย และการใช้งบประมาณ ตามความเหมาะสมของงบประมาณที่จะได้รับ
เรียกได้ว่า หากแผนแม่บทชิ้นนี้ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจรับของกระทรวงยุติธรรม
จะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่จะสามารถใช้การันตีงานอื่นๆ ที่จะมีขึ้นอีกในอนาคต
ไม่เพียงแต่กระทรวงยุติธรรม หรือ กระทรวงมหาดไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงยุคไฮเทคที่ให้ความสำคัญกับไอที
ยังมีหน่วยงานราชการระดับกระทรวงอีกหลายแห่ง ที่อยู่ระหว่างเตรียมการที่จะนำไอทีไปใช้
ในยุคที่ไอทีเฟื่องฟูไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองใดก็ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับไอทีกันทั้งสิ้น
แม้จะถูกตัดงบประมาณไปเกือบหมด แต่ก็ยังพอมีงบประมาณหลงเหลืออยู่บ้างในบางหน่วยงาน
ที่ยังได้รับความช่วยเหลือทางด้านเงินกู้จากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นงานทางด้านการศึกษาและบริการสังคม
คือ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และยังมีบางโครงการที่เป็นโครงการต่อเนื่อง
จะว่าไปแล้วบริษัทฟอร์ยูอินโฟร์ซิส และฟอร์ยูซิสเท็กซ์เดินมาถูกทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาของบริษัททั้งสองแห่งนี้ก็สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าไปได้ระดับหนึ่ง
เพราะผู้ถือหุ้นของสองบริษัทนี้ล้วนแต่เป็นอาจารย์ที่มีดีกรีดอกเตอร์ จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ หรือ เอแบค ลงขันทำธุรกิจเป็นที่ปรึกษาทางด้านไอที
"การเป็นอาจารย์ก็อาจมีส่วนอยู่บ้าง แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากงานที่เรารับจะเป็นงานเฉพาะด้านที่ต้องอาศัยความรู้
และเราก็มีหลักที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์และออกแบบที่ถูกต้อง เป็นส่วนที่ทำให้ผู้ว่าจ้างได้รับความเชื่อถือ"
ดร.ประทิต สันติประภพ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเอแบค
ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งบริษัทกล่าว
เขาเชื่อว่า การเป็นนักวิชาการและนักธุรกิจสามารถไปด้วยกันได้ เพราะสามารถเอาประสบการณ์จริงไปใช้สอนลูกศิษย์ได้
แทนที่จะสอนแต่ภาคทฤษฎี ในทำนองเดียวกัน การวิเคราะห์อย่างเป็นระบบในแง่วิชาการก็เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่ทำอยู่เช่นกัน
ดร.ประทิตนั้นเป็นบุตรชายคนโตของพลเอกประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ
ด้วยความชอบวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ ดร.ประทิต เลือกที่จะเป็นวิศวกรและนักคอมพิวเตอร์มากกว่าจะเดินตามรอยผู้เป็นพ่อ
เช่นเดียวกับน้องชายของเขาที่เลือกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของไอเอ็มเอฟ
และปัจจุบันถูกยืมตัวมาประจำอยู่กระทรวงการคลัง ส่วนน้องสาวเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
"คุณพ่อไม่เคยบังคับเลย ให้เลือกเรียนเลือกอาชีพของตัวเองได้อย่างอิสระ
พี่น้องและตัวผมเองก็ไม่มีใครมีอาชีพตำรวจเลย" ดร.ประทิตเล่า
หลังจากศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะวิศวะเครื่องกลจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร.ประทิตบินลัดฟ้าไปต่อปริญญาโทวิศวะฯ ทางด้านระบบงานผลิตที่มหาวิทยาลัยโตโยฮาชิที่ประเทศญี่ปุ่น
และคว้าดีกรีดอกเตอร์ทางด้านคอมพิวเตอร์ไซน์จากฟลอริด้ายูนิเวอร์ซิตี้ สหรัฐอเมริกา
ก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิตได้เพียง 6 เดือน และย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ หรือ เอแบค
"พอมาอยู่ได้เดือนเดียว คณบดีคนเก่าลาออกไป ผมก็เลยได้รับมอบหมายให้เป็นคณบดีแทน
และก็เป็นมาจนถึงเวลานี้รวมเวลากว่า 5 ปี"
5 ปีเต็มที่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขยายตัว จากที่มีเพียงภาควิชาเดียว
จนเวลานี้มีทั้งหมด 5 ภาควิชา อาทิ คอมพิวเตอร์ไซน์, อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี
เทเลคอม มิวนิเคชั่นไซน์ สถิติประยุกต์ และเคมีคัลเทคโนโลยี และเพิ่มขึ้นทั้งในระดับปริญญาโทและเอก
ทางด้านสาขาวิชาการเหล่านี้ด้วย
จะว่าไปแล้ว มหาวิทยาลัยเอแบคในช่วงหลังๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยีไม่น้อย
ไม่เพียงเฉพาะงานด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังเพิ่มบทบาทของการเป็นนักลงทุนในธุรกิจทางด้านไอที
ที่เห็นได้ชัดคือ การเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ภายใต้ชื่อเคเอสซี ที่อยู่ภายใต้การนำของ
ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน และ ศ.ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนสิน สองอาจารย์จากเอแบค
ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการสร้างเคเอสซี
ทางด้าน ดร.ประทิตเองก็ไม่น้อยหน้า นำมหาวิทยาลัยเอแบคไปร่วมทุนกับบริษัทโรโซเวีย
ประเทศสวีเดน จัดตั้งเป็นศูนย์วิจัย "เซนต์มาร์ติน วีอาร์ เซ็นเตอร์" ทำเรื่องการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ใช้กับเทคโนโลยี
ซีมูเลเตอร์ ในการจัดทำภาพจำลองที่สามารถแสดงภาพได้เสมือนจริง (VIRTUAL REALITY)
มาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
ศูนย์วิจัยเซ็นมาร์ติน วีอาร์ เซ็นเตอร์ ตั้งขึ้นด้วยเงินทุนจดทะเบียนขั้นต้น
2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการลงทุนของบริษัทโรโซเวียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเอแบคนั้นจะสนับสนุนในด้านของสถานที่และบุคลากร
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาเอแบคเกือบทั้งหมด
เป้าหมายของศูนย์นี้ ไม่เพียงแต่งานด้านการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเท่านั้น แต่ยังมีไว้เพื่อให้บริการในเชิงพาณิชย์
สำหรับลูกค้าในแวดวงอุตสาหกรรม เรียกว่า เป็นการใช้ประโยชน์ทั้งด้านวิชาการและทำธุรกิจไปในตัว
"ระบบนี้มีคนนำมาใช้แล้ว แต่ยังไม่มีใครนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง
ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีนี้ทำได้หลายอย่าง เช่น การฝึกอบรม ก็จะเป็นคอนเซ็ปต์คล้ายๆ
กับศูนย์ซีมูเรเตอร์ของการบินไทย หรืองานด้านการแพทย์ ที่ใช้ไปช่วยในการผ่าตัดแบบไม่ต้องเปิดแผล
หรือ การฝึกอบรมของตำรวจ ที่ใช้ฝึกในเรื่องของการยิงปืน ใช้ในการวางแผนโรงงานอุตสาหกรรม"
แอพพลิเคชั่นแรกที่พัฒนาออกมาประเดิมใช้ที่เอแบคเป็นแห่งแรก โดยใช้กับงานแสดงภาพจำลองแคมปัสใหม่ของเอแบคที่ถนนบางนาตราดที่จะเปิดใช้ในอีก
2 ปีข้างหน้า
เมื่อไอทีเป็นของใหม่ และยุคเฟื่องของไอทียังไม่หมดลง โอกาสของผู้รู้ในเรื่องเหล่านี้จึงมีอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่นักวิชาการก็ต้องมาทำธุรกิจกันบ้าง