เศรษฐกิจไทยวันนี้กำลังตกอยู่ในอาการโคม่าจากพิษของฟองสบู่แตก ธุรกิจทั้งหลายต้องหยุดชะงักเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน
ยอดขายที่เคยวาดฝันไว้มิต้องพูดถึงอีก มีแต่ยอดหายที่มีให้เห็นในแต่ละวัน
เพราะคนเริ่มเก็บออมไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
แบงก์จะปิด ไฟแนนซ์จะล้มไปอีกสักกี่แห่ง
ทว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กลับมองทะลุปัญหานี้และมองเห็นลู่ทางในการขยายธุรกิจในประเทศไทย
และด้วยศักยภาพของเหล่าบรรดาวัยกรี๊ดไทยที่ใจเบากระเป๋าหนักทั้งหลาย ทำให้บริษัทจอห์นสัน
แอนด์ จอห์นสัน นำคอนแทคเลนส์ ชนิดเปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์ 'ชัวร์วิว' (SUREVUE)
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งคิดค้นพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิต
Stabilized Soft Molding Manufacturing ที่ลงทุนไปร่วมร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
ตั้งแต่ปี 1987 หลังจากถอนตัวแอคคิววิว จนประสบความสำเร็จไปแล้ว
กลุ่มวัยรุ่นเป้าหมายของชัวร์วิว จะอยู่ระหว่างอายุ 13-19 ปี ซึ่งยังไม่เคยใช้คอนแทคเลนส์มาก่อน
ทั้งนี้จากผลการวิจัยตลาดของบริษัทพบว่า วัยรุ่นในเอเชียส่วนใหญ่จะนิยมตามแฟชั่น
และวัยรุ่นไทยก็จัดอยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียที่ไม่ยอมตามหลังสมัยนิยมและรักสวยรักงาม
ดังนั้น ชัวร์วิว จึงถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่โดนใจวัยรุ่นโดยเฉพาะ ด้วยรูปกล่องและสีสันที่สะดุดตาได้ง่าย
นอกจากนี้ยังได้เน้นการทำตลาดด้วยวิธีการโฆษณา และโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ
เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะในเวลาที่มีการแข่งขันรุนแรงดุเดือดเช่นนี้
จากผลการวิจัยตลาดของบริษัทพบว่าโอกาสการเติบโตของผลิตภัณฑ์ชัวร์วิวมีสูงมาก
เพราะปัจจุบันในเมืองไทย มีผู้ใช้คอนแทคเลนส์น้อยมากเพียง 300,000 รายเท่านั้น
ขณะเดียวกัน จำนวนวัยรุ่นมีมากถึง 7-8 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 60 ล้านคน
ซึ่งคนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการซื้อสูงมาก และจากการประเมินอย่างคร่าวๆ หากในแต่ละปีวัยรุ่น
10% จากทั้งหมด 8 ล้านคนทดลองใช้ชัวร์วิว ความต้องการคอนแทคเลนส์ จะมีมากถึง
37 ล้านเลนส์ต่อปี ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของคอนแทคเลนส์ในไทยประมาณ 24
ล้านเหรียญสหรัฐ
ภายในกล่องจะบรรจุเลนส์ 3 คู่ ซึ่งจะสามารถใช้ได้ในระยะเวลาเดือนครึ่ง
โดยราคาแนะนำในช่วงต้นอยู่ที่ 680 บาท ลดลงจากราคาป้าย 900 บาท ถึงกว่า 20%
ซึ่งหากเฉลี่ยค่าใช้จ่ายเป็นวันจะตกวันละ 16 บาท
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบชัวร์วิว คอนแทคเลนส์ชนิดเปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์
กับคอนแทคเลนส์ชนิดถาวรต้นทุนอาจจะแพงกว่า แต่เลนส์พวกนั้นจะมีน้ำยาสำหรับล้างทำความสะอาด
น้ำยาฆ่าเชื้อ และเม็ดขจัดคราบโปรตีนซึ่งหากรวมเข้าไปแล้วจะพบว่ามีราคาแพงกว่ากันไม่มากนัก
แต่ปัญหาของตลาดในตอนนี้ก็คือเรื่องของการแข่งขันที่รุนแรง และราคาขายมีการแกว่งตัวสูงมาก
และราคาที่เราเสนอเช่นนี้ผมคิดว่าไม่แพงนัก สมเหตุสมผล เราเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
แต่คุณต้องเข้าใจว่าถ้าคุณมองไม่เห็น หรือมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตาของคุณ
สิ่งแรกที่จะมองหาแน่นอนคือแว่นตา เพราะราคาไม่แพง แต่ปัญหาก็คือว่าภาพลักษณ์ที่ปรากฏจะดูไม่ธรรมชาติและไม่สะดวกในการเล่นกีฬา
ซึ่งคนก็จะเปลี่ยนไปหาเลนส์ชนิดเปลี่ยนได้"
ปัจจุบัน ในตลาดคอนแทคเลนส์จะประกอบด้วยคอนแทคเลนส์ชนิดถาวร (ordinary
contact lens) กับคอนแทคเลนส์ชนิดเปลี่ยนได้ (disposal contact lens) ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาส่วนแบ่งของคอนแทคเลนส์ชนิดถาวรจะสูงเกือบ
100% แต่ในระยะหลังสัดส่วนนี้เริ่มหดตัวลดลง เนื่องจากคอนแทคเลนส์ชนิดเปลี่ยนได้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
เพราะสามารถถ่ายทอดออกซิเจนได้ดีกว่า และกินส่วนแบ่งมากกว่า 50%
"การที่คนหันมาหาคอนแทคเลนส์ประเภทใช้แล้วทิ้งมากขึ้นกว่าเลนส์ถาวร
เนื่องจากความสะดวกสบายเป็นสำคัญ เพราะผู้คนเริ่มมองหาสินค้าที่มีการพัฒนาใหม่ๆ
มากขึ้นกว่าเลนส์ถาวรที่สามารถใช้ได้ 6 เดือนถึง 1 ปี มาเป็นเลนส์ประเภท
2 อาทิตย์ ที่เราเรียกว่าเลนส์ชนิดเปลี่ยนได้ ในอเมริกาและที่อื่นๆ เราจะเห็นว่าแนวโน้มของเลนส์ถาวรมีอัตราลดลงซึ่งเมื่อ
10 ปีที่แล้วมีส่วนแบ่ง 100% เพราะไม่มีเลนส์ชนิดเปลี่ยนได้เข้ามาแบ่ง แต่ตอนนี้เลนส์ชนิดนี้มีส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกปีแม้แต่ในเมืองไทย ประมาณ 30-40% ทุกปีและตอนนี้ส่วนแบ่งของเลนส์ถาวรเหลือน้อยกว่า
50% แล้วขณะที่เลนส์เปลี่ยนทิ้งมีส่วนแบ่งมากกว่า 50% นี่เป็นสถานการณ์ในสหรัฐฯ
ซึ่งแนวโน้มนี้ก็ปรากฏในที่อื่นๆ ด้วย และในไม่ช้าไม่นานนี้เราคงจะได้เห็นเลนส์ชนิดเปลี่ยนทิ้งมีส่วนแบ่งที่ทิ้งห่างจากเลนส์ถาวรไปได้"
ลี ไอ วาย กล่าวถึงแนวโน้มตลาดคอนแทคเลนส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่เข้มข้นย่อมกดดันให้ราคาคอนแทคเลนส์ลดต่ำลง
และประโยชน์ย่อมตกอยู่ที่ผู้บริโภคในที่สุด แต่ถ้าจะให้ได้ประโยชน์อย่างสุดๆ
ก็ต้องเลือกสินค้าให้เหมาะกับการใช้งานและคุ้มค่าเงินมากที่สุด และชัวร์วิว
ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันหยิบยื่นเข้ามาในสมัยไอเอ็มเอฟครองเมือง….