ธุรกิจขายตรงกำลังเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบันโดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจรัดตัว
คนตกงานอีกนับแสนนับล้านคน ต่างต้องการหารายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ลักษณะการดำเนินธุรกิจขายตรงจึงเหมาะสำหรับเหยื่อเศรษฐกิจ
ผู้ว่างงานทั้งหลายที่สามารถยึดเป็นอาชีพหลักหรือเสริมได้ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับความขยันและความซื่อสัตย์
โดยไม่ต้องหวั่นวิตกกับการถูกเลย์ออฟหรือลดเงินเดือนจากนายจ้างอีกต่อไป
อินโนเวท อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นน้องใหม่ในวงการธุรกิจขายตรงที่ศศิมา พุกกะเวสทายาทสาวคนเดียวของวันเพ็ญ
เจิมประไพ เจ้าของสถาบันความงามแจ่มจันทร์สมุนไพรได้ตัดสินใจเปิดตัวในช่วงภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
เพื่อช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนทั่วไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัดนี่เป็นเพียงเหตุผลทางอ้อมเท่านั้น
แต่เหตุผลหลักที่ศศิมายอมลงทุนถึง 10 ล้านบาท เพื่อเปิดบริษัทนี้ก็คือเธอต้องการให้อินโนเวท
อินเตอร์ฯ เป็นองค์กรที่ดำเนินการทางด้านการตลาดที่เป็นสากลให้แก่แจ่มจันทร์สมุนไพร
รวมทั้งเป็นการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมดออกไปยังตลาดต่างจังหวัดทั่วประเทศ
โดยเธอเป็นผู้ดูแลเต็มตัวในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหาร รองจากวันเพ็ญมารดาของเธอ
ซึ่งงานนี้ศศิมาต้องลงทั้งแรงกายและแรงใจชนิดสุดตัว เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่บริษัทมากยิ่งขึ้นแม้ว่าอินโนเวทฯ
จะมีความได้เปรียบตรงที่มี "แจ่มจันทร์สมุนไพร" บริษัทแม่ที่มั่นคงแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมานานร่วม
20 ปี แล้วก็ตาม
"ปีนี้เศรษฐกิจแย่มาก เราเองเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้เพียงไม่กี่เดือน
ยังอยู่ในช่วงของการเปิดตลาด เราจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้สามารถเปิดศูนย์ให้ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศซึ่งใน
1 เดือนที่ผ่านมาเราสามารเปิดได้ 10 จังหวัดแล้ว" ศศิมากล่าว
สำหรับแนวทางการทำตลาดนั้น ศศิมาได้แบ่งออกเป็น 2 แนวทางแยกกันอย่างชัดเจนคือ
แบบระบบขายตรงชั้นเดียว หรือ SLM (SINGLE LEVEL MARKETING) และแบบระบบขายตรงหลายชั้น
หรือ MLM (MULTI LEVEL MARKETING)
ในระบบ SLM ศศิมาได้ส่ง "เซเรเซ่" เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากสินค้าสมุนไพรของแจ่มจันทร์
ประเภทสกินแคร์เข้าไปเจาะตลาดระดับล่างราคาเริ่มตั้งแต่ 100-500 บาท โดยเน้นเปิดศูนย์จำหน่ายและตัวแทนสาวจำหน่ายตามต่างจังหวัด
ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายต่อศูนย์ประมาณ 20,000
บาท ในขณะที่จะได้มาร์จินประมาณ 30% ขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยอดขายที่ตัวแทนแต่ละรายจะทำได้
ส่วนสาวเซเรเซ่จะได้รับส่วนลดหน้าบิลไปทันทีที่มาซื้อของจากอินโนเวทฯ จากนั้นจะนำสินค้าไปใช้เองหรือจำหน่ายต่อก็ได้
นอกจากนั้นยังมีรางวัลสะสมและโบนัสเหมือนกับการขายตรงทั่วไปด้วย ในอนาคตผลิตภัณฑ์ของเซเรเซ่จะไม่มีเพียงเครื่องสำอางเท่านั้น
แต่จะรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ประเภท HOUSEHOLD ต่างๆ ด้วย
ส่วนในระบบ MLM มี "เฟอ ลีน" เป็นสินค้าเอกในการเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าระดับตั้งแต่บีบบวกขึ้นไป
และเป็นสินค้านำเข้าจากเยอรมนีที่มีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งศศิมาให้เหตุผลว่า
"การทำตลาด MLM สินค้าต้องมีจุดขายที่โดดเด่น เราจึงจำเป็นต้องนำสินค้ามาจากต่างประเทศ
รวมทั้งมีการลงทุนร่วมกับเยอรมนี ในการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมดด้วย"
จากลักษณะการทำการตลาดของ MLM ที่ต้องมีการจัดประชุมสัมมนา เพื่อให้สมาชิกได้เข้าใจถึงความมั่นคงและระบบการทำงานของบริษัท
รวมทั้งจุดเด่นของตัวผลิตภัณฑ์และแผนการตลาดด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างต้องใช้เวลาในการทำงานอย่างใกล้ชิดมากกว่าตลาด
SLM ซึ่งศศิมาเลือกที่จะเปิดศูนย์ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการจัดประชุมย่อยและขณะนี้
อินโนเวทฯ สามารถเปิดศูนย์ MLM ได้แล้ว 2 แห่งคือที่ศรีราชา และที่ตัวเมืองชลบุรี
เป็นที่สังเกตว่า การทำการตลาดของผลิตภัณฑ์ทั้งสองของอินโนเวทฯ จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากศศิมาเห็นว่า ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่อินโนเวทฯ สามารถเข้าไปช่วงชิงได้ง่ายกว่าการบุกตลาดในกรุงเทพฯ
ประกอบกับชื่อเสียงของแจ่มจันทร์สมุนไพรซึ่งเป็นบริษัทแม่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีทั่วประเทศ
รวมทั้งนอกประเทศด้วย นับเป็นจุดขายที่สำคัญของอินโนเวทฯ ทีเดียว
"ตอนนี้ตลาดขายตรงยังคงสวนกระแสเศรษฐกิจอยู่ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ด้วยสมมติถ้าเราเป็นแบรนด์
A-B-C ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เราคงไม่กล้าทำแน่นอน แต่นี่สินค้าเรามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ
และมีแจ่มจันทร์สมุนไพรเป็นบริษัทแม่ที่การันตีได้ได้อีกชั้นหนึ่ง เราจึงกล่าที่จะทำโครงการนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา"
ศศิมากล่าวถึงความแข็งแกร่งของบริษัท
นอกจากตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารในบริษัท อินโนเวทฯ แล้ว ศศิมายังคงมีส่วนในการบริหารงาน
ที่ศูนย์สุขภาพและความงามแจ่มจันทร์สมุนไพรในตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ฯ
และผู้อำนวยการโรงเรียนเสริมความงามแจ่มจันทร์สมุนไพร รวมทั้งเป็นกรรมการบริหารบริษัท
เอม แลบบอราทอรีส์ ซึ่งเป็นโรงงานในการผลิตสินค้าในเครือทั้งหมดด้วย
ธุรกิจทั้งหมดที่ศศิมามีส่วนช่วยวันเพ็ญดูแลอยู่ ล้วนแต่มีระบบการบริหารงานแบบครอบครัวมาช้านานแล้วทั้งสิ้น
วันนี้เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะเข้ามาจัดการการบริหารงาน ให้มีความเป็นสากลและมืออาชีพมากขึ้น
อินโนเวทฯ จึงเป็นบริษัทลูกของแจ่มจันทร์ที่แตกออกมาเป็นบริษัทแรกที่ศศิมารับผิดชอบเองเต็มตัว
และโครงการต่อไปของเธอคือการขายแฟรนไชส์ศูนย์สุขภาพ และความงามแจ่มจันทร์สมุนไพร
ซึ่งจริงๆ แล้ว โครงการนี้เป็นโครงการที่เธอคิดไว้ก่อนโครงการอินโนเวทฯ เสียอีก
แต่เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ เธอจึงต้องชะลอโครงการนี้ไปก่อน เพราะธุรกิจแฟรนไชส์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
"ถ้าอินโนเวท" อยู่ตัวแล้ว เราจะขยายมาเปิดแฟรนไชส์ให้มากขึ้น
แต่ตอนนี้แจ่มจันทร์ยังคงมีเพียงสาขาเดียวเท่านั้น เรายังไม่เปิดสาขาเพิ่ม
เพราะเรากลัวเรื่องมาตรฐานการให้บริการที่เราอาจดูแลไม่ทั่วถึง แต่ถ้าเราขายแฟรนไชส์ให้เจ้าของธุรกิจไปดำเนินการเอง
เขาก็จะสามารถดูแลได้เต็มที่ โดยมีเราเป็นผู้ให้การฝึกอบรม" ศศิมากล่าวถึงแผนในอนาคต