ฟาร์อีสเทิร์นอิโคโนมิครีวิวฉบับกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาขึ้นปกหน้าอย่างหวือหวาว่า
"ฉีกหน้ากากมูดี้ส์" พร้อมกับพาดข่าวรองลงมาว่า ทำไมบริษัทจัดอันดับที่น่าเกรงขามนี้จึงผิดพลาด
(ในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย)
สำหรับบ้านเราเองคงจะรู้จักฤทธิ์เดช และอิทธิพลของมูดี้ส์เป็นอย่างดี การลดเครดิตที่มูดี้ส์ให้กับเศรษฐกิจไทย
และบรรดาสถาบันการเงินบ้านเราแต่ละครั้งเป็นข่าวออกวิทยุประเทศไทย และทำให้นักข่าวมีเรื่องถามนายกฯ
และ ถามรัฐมนตรีคลังได้เรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะไทยเราเท่านั้นที่โดนลดอันดับ
แต่ประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซีย ทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย ต่างโดนกันทั่วหน้า ยิ่งในภาวะที่ทั้งไทยและมาเลเซียต่างพยายามจะดึงเงินจากนักลงทุนต่างชาติเพื่อเสริมสภาพคล่อง
การโดนลดอันดับยิ่งทำให้การแก้ปัญหาด้วยการออกพันธบัตรยากยิ่งขึ้น บ้านเราเองตอบสนองต่อการจัดอันดับดังกล่าว
เพียงแค่คำพูดของรัฐมนตรีคลังว่าเขาไม่เข้าใจปัญหาของบ้านเรา หรือจะพยายามชี้แจงให้มูดี้ส์เข้าใจ
แต่สำหรับมาเลเซียแล้วนายอันวาร์ อิบราฮิม รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังกล่าวสวนกลับไปว่า
"แล้วใครเป็นคนจัดอันดับ (ความน่าเชื่อถือ) ให้กับบริษัท (จัดอันดับเหล่านี้)"
นี่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ว่ามีผลอย่างไรต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแถบเอเชีย เฮนรี่ เซ็นเดอร์ ผู้เขียนบทรายงานนี้ย้ำถึงบทบาทของมูดี้ส์ว่า
ในช่วงแรกของวิกฤตนักลงทุนต่างพากันโจมตีว่า มูดี้ส์ไม่ยอมเตือนให้ทราบล่วงหน้าถึงวิกฤตที่กำลังรออยู่
ในขณะที่ ณ เวลานี้บริษัทต่างๆ และประเทศในแถบเอเชียต่างพากันโทษว่ามูดี้ส์ซ้ำเติมวิกฤตให้หนักขึ้นด้วยการจัด
(ลด) อันดับความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของประเทศและบริษัท "ถี่และรุนแรง"
เกินไป
พูดง่ายๆ ก็คือในสายตาของรัฐบาล มูดี้ส์ขยันทำงานมากเกินไปในภาวะนี้ ผมเองไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่จะอธิบายปัญหา
แต่เป็นที่เข้าใจได้ในทางจิตวิทยา ว่าทำไมมูดี้ส์จึงจัดอันดับถี่มาก และค่อนข้างจะออกมาในแง่ลบ
เนื่องจากมูดี้ส์ถูกตำหนิจากนักลงทุนว่าตัวเองไม่ทำหน้าที่เตือน สิ่งที่มูดี้ส์พยายามทำในขณะนี้ก็คือการเรียกความน่าเชื่อถือของตัวเองกลับคืนมา
โดยการเตือนให้นักลงทุนระวังที่จะกลับเข้ามาลงทุน
เมื่อมูดี้ส์ลดอันดับทำให้นักลงทุนไม่กลับเข้ามา หรือรีรอที่จะกลับมาผลที่ตามมาคือ
ไม่มีเงินกลับเข้ามาในระบบเหมือนอย่างที่รัฐบาลหลายประเทศรวมทั้งไทยคาดหวังไว้
(โดยเฉพาะการกลับเข้ามาของเงินจากภายนอก เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยเชื่อมั่นว่าจะเป็นทางออกของปัญหา)
เมื่อสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น ปัญหาเลวลง ผลลัพธ์คือมูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก
ปัญหาก็คงจะวนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมูดี้ส์เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอันดับต่ำไปกว่านี้แล้ว
หรือไม่รัฐบาลประเทศเหล่านี้สามารถแสวงหาทางออกอื่น นอกเหนือจากการคาดหวังที่ผูกติดอยู่กับการจัดอันดับของมูดี้ส์
ทำไมทุกคน หรืออย่างน้อยนักลงทุนต่างชาติต่างให้ความเชื่อถือกับอันดับที่มูดี้ส์จัด
ในทางจิตวิทยาสังคม ความน่าเชื่อถือของผู้ให้ข้อมูลขึ้นกับสถานะและวิธีการให้ข้อมูล
ยิ่งผู้ให้ข้อมูลมีสถานะที่สูงหรือดีเพียงใด ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งสูงขึ้น
ส่วนการให้ข้อมูลที่มีลักษณะเป็นวิชาการ หรือมี "ศัพท์แสง" มากๆก็สามารถทำให้ผู้รับเชื่อได้
มูดี้ส์ดูจะมีพร้อมทั้งสองประการ ความเก่าแก่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง (มูดี้ส์ก่อตั้งขึ้นมาเกือบร้อยปี)
แต่ยังมีเหตุผลอย่างอื่นๆ อีก มูดี้ส์หรือบริษัทจัดอันดับอื่นๆ จะมี "นักวิเคราะห์"
มีการใช้ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ หรือ "เครื่องมืออื่นๆ ในการวิเคราะห์"
ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ในยุคที่บริษัท หรือนักลงทุนมีเงินเหลือมากพอ
และมีการเปิดเสรีของตลาดบริวรรตเงินตรา นักลงทุนอยากปล่อยกู้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ข้อมูลหรือความน่าเชื่อถือของลูกค้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยง บริษัทแบบมูดี้ส์จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
ความที่ผู้กู้อยากกู้เงิน ทำให้ทุกคนยอมรับสมมุติฐานว่าบริษัทจัดอันดับน่าจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลมากที่สุด
หรือน่าเชื่อถือที่สุด เพราะผู้กู้พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูล
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตัวเลขทั้งหลายที่บริษัทยอมเปิดเผย ก็มักจะเป็นตัวเลขที่
"ดูดี" หรือ "ดูไม่น่าเกลียด" ตัวอย่างในบ้านเราก็คงจะเห็นได้ชัดกับ
บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งหลาย ที่ถูกพักใบอนุญาตเพราะรับรองตัวเลขงบการเงินที่ถูก
"ตกแต่งแล้ว" ของบริษัทเน่าๆ ในตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้พฤติกรรมของนักลงทุนเองก็มีส่วนสำคัญ ในหลายครั้งนักลงทุนเองอาจจะไม่มั่นใจ
หรือสงสัยกับการจัดอันดับ แต่พฤติกรรมประเภท "ตัวเลมมิ่งส์" ที่บัปเฟตต์วิจารณ์นักลงทุนประเภทไม่ยอมแตกแถวเพราะกลัวจะไม่เหมือนชาวบ้าน
(ผู้สนใจอาจหาอ่านได้ในหนังสือ "แกะรอยเซียนหุ้น") ทำให้นักลงทุนยอมที่จะเชื่อตามข้อมูลของบริษัทจัดอันดับเพราะ
"คนอื่นๆ เขาเชื่อ" สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือ คนอื่นจะตอบสนองอย่างไรกับข่าวดังกล่าว
มากกว่าข้อเท็จจริงของข่าวนั้น และตลาดก็จะเป็นไปตามความรู้สึกว่าคนอื่นน่าจะทำแบบนี้
เซ็นเตอร์กล่าวถึงปัจจัยที่เชื่อว่าทำให้มูดี้ส์วิเคราะห์ผิด คือ วิธีการวิเคราะห์ที่ไม่เหมาะสมกับความซับซ้อนของสถานการณ์ปัจจุบัน
ปริมาณนักวิเคราะห์ที่น้อยเกินไป และอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
การขาดการวิพากษ์วิจารณ์ข้อมูลที่ได้รับ
สำหรับผมแล้ว ที่จริงปัจจัยที่ทำให้มูดี้ส์วิเคราะห์หรือจัดอันดับผิดพลาดก็คือ
คน (ซึ่งไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และครบถ้วน) และคนอีกนั่นแหละที่ทำให้มูดี้ส์วิเคราะห์ถูก
(ด้วยพฤติกรรมแบบพากันไป)
ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามที่ว่า เราควรให้ความเชื่อถือกับบริษัทจัดอันดับมากน้อยเพียงใดผมเองคิดว่า
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทแบบมูดี้ส์มีผลต่อความคิดและการตัดสินใจของนักลงทุน
ดังนั้นแทนที่จะไปนั่งกังวลว่ามูดี้ส์จะตัดสินเราอย่างไร สิ่งที่น่าคิดมากกว่าก็คือ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเราแบบใดที่จะไม่ขึ้นต่ออิทธิพลโดยตรงของมูดี้ส์ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ผมคิดว่าการแก้ปัญหาที่ทำอยูในขณะนี้ ร่วมกับวิธีการที่บรรดานักคิดในสังคมไทยหลายท่านที่เสนอแนวทางเศรษฐกิจชุมชน
การพึ่งพาตนเอง ควบคู่กันไปโดยไม่หวังเพียงการไหลเข้าของดอลลาร์จากนักลงทุนต่างชาติ
น่าจะเป็นทางออกที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญมากขึ้น