การเดินป่าและยิงปืนในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องของกีฬา แต่เป็นชีวิตจริงของคนนอกสังคมเมือง
ซึ่งเมื่อคนเมืองชื่อ วรพงศ์ นันทาภิวัฒน์ ได้สัมผัสแล้วนั้น มันให้บทเรียนที่มีค่าติดตัวเขามาตลอดชีวิต
ทุกวันนี้วรพงศ์ทำงานแบบยึดหลักความจริงของชีวิตในตำแหน่งประธานที่ บ.อาหารสากล
(UFC) แม้ตระกูลนันทาภิวัฒน์จะมีกรรมพันธุ์ในเรื่องโรคหัวใจ แต่ตัวเขานั้นไม่เห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บจะเป็นอุปสรรคต่อความนิยมในกีฬากลางแจ้งสารพัดชนิด
โดยเฉพาะที่ชอบมากคือ แคมปิ้ง ยิงปืน และดำน้ำ
ในวัย 41 ปีวันนี้ วรพงศ์ นันทาภิวัฒน์ หันหลังให้กับสายอาชีพแบงเกอร์ที่ธนาคารแหลมทองมานาน
10 ปีแล้ว และเริ่มเข้ามาทำธุรกิจของตระกูลอย่างจริงจังที่ บมจ.อาหารสากล
(UFC)
เขาย้อนอดีตเสี้ยวหนึ่งเมื่อธนาคารที่ลุงของเขา - สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์
เป็นผู้บริหารอยู่ แล้วถูก สุระ จันทร์ศรีชวาลา ยึดไป ว่า "ผมถูกส่งไปอยู่ขอนแก่น
ราวเดือนหนึ่ง พอกลับมาก็ลาออก แล้วเปลี่ยนอาชีพจากสายการเงินมาอยู่สายอุตสาหกรรม
ซึ่งพื้นฐานผมก็มาทางวิศวกรรม ก็เลยเปลี่ยนมาทางนี้"
วรพงศ์เข้ามาทำงานที่ UFC ในตำแหน่ง EVP ประมาณ 6 ปีจึงได้เลื่อนเป็นประธาน
จนถึงปัจจุบัน บริษัทมียอดขายสินค้าทั้งกลุ่มประมาณปีละ 800 ล้านบาท มีโรงงาน
5 แห่งและมีคนงานประมาณ 1,700 คน
ดูเหมือนว่างานในตำแหน่งบริหารของวรพงศ์จะกินเวลาส่วนใหญ่ของเขาไปหมด แต่แท้จริงแล้ว
เขายังมีโอกาสให้เวลากับความสนใจพิเศษในเรื่องกีฬากลางแจ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก
เขาเล่าให้ "ผู้จัดการรายเดือน" ฟังว่าความสนใจเริ่มต้นของเขาคือเรื่องการยิง
ตั้งแต่เด็กเขาได้สัมผัสกับพวกปืนผาหน้าไม้ เข้าป่ากับพ่อตั้งแต่เด็ก แถบปากช่อง
กุยบุรี การเดินป่าจึงเป็นเรื่องที่ซึมอยู่ในสายเลือด ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็เป็นสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ด้วย
"ผมว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็ชอบการล่า การยิงปืน ยิงธนู กีฬากลางแจ้ง ขึ้นอยู่กับว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน"
เผอิญเขาได้มีโอกาสสัมผัสมากกว่าชาวบ้าน และพอโตขึ้นเขาก็เริ่มไปยิงปืน
ยิงเป้าบิน ยิงลูกซอง มีปืนของตัวเอง ได้ยิง ได้รู้จักวิธีรักษาดูแลทำความสะอาด
เวลาว่างบางทีก็เอาปืนออกมาเช็ด มาล้าง มีทั้งปืนยาวและสั้น
การเดินป่าทำให้เขาเป็นคนชอบกีฬากลางแจ้ง ชอบไปแคมป์ ซึ่งในสมัยเด็กๆ ก็อาจจะมีการยิงนก
ล่าสัตว์ เป็นปกติ แต่เมื่อโตขึ้น โอกาสที่จะทำก็น้อย เพราะว่าไม่มีสัตว์
กฎหมายก็คุ้มครองมากขึ้น และสามเขามีลูกแล้ว จึงเริ่มกลัวบาป "จริงๆ ผมไม่ได้เป็นนักล่าสัตว์
แต่เป็นคนที่ชอบป่าและปืน มันก็ดูเป็นความขัดแย้งอยู่ ก็เลยต้องหันมาทำอะไรที่แปลกๆ
ไป คือทำอะไรที่ไม่บาป มาเป็นกีฬา อะไรไป"
นอกจากปืนแล้ว เขาก็เป็นนักสะสมมีดด้วย เหมือน กับที่สะสมปืน ซึ่งมีรุ่นเก่าๆ
สวยๆ อยู่มาก เขาเพิ่งหันมาเก็บมีดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา "เผอิญไปบ้านเพื่อนคนหนึ่งเห็นมีมีดสวยๆ
มาก เขาก็ส่งแค็ตตาล็อกมาให้ ก็สั่งซื้อไป ตอนที่ดอลลาร์ราคา 25 บาทก็ซื้อมากหน่อย
แต่ตอนนี้ก็ลดลงเพราะมีดบางอันนี่ราคาเป็นหมื่น แต่มันสวย พอมี 10 กว่าอันก็เริ่มเห็นมันเหมือนๆ
กันหมดแล้ว"
เขาสะสมมีดสวยๆ ก็จริง แต่มีดที่ใช้จริงเวลาเดินป่านั้นเป็นมีดไทยทำ "เพราะว่าอันละ
200 บาท ฟันอะไรก็ไม่เสียดาย เข้าป่าก็ต้องใช้ฟันอะไรต่อมิอะไร อย่างของฝรั่งนั้นใช้จริงๆ
เพราะเข้าป่าต้องใช้แล่อะไรต่ออะไร แต่ของเรานั้นมีไว้ดู สวยงาม"
เมื่อเรากล่าวถึงการเดินป่าในเวลานี้นั้น มันใกล้เคียงกับการไปออกแคมป์
หรือค่ายพักแรมมาก เพราะในเมืองไทยมีแต่ป่าสงวนเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ที่จะเรียกว่าป่าได้อย่างเต็มความหมาย
วรพงศ์มีบ้านอยู่ที่กาญจนบุรี อยู่ตรงปลายอำเภอเมือง จุดที่จะข้ามเขตุไปอำเภอศรีสวัสดิ์
เขาไปออกแคมป์ที่บริเวณบ้านพักแห่งนี้ "เดือนหนึ่งก็ไป 2 ครั้ง ก็รอบๆ เป็นป่า
มีที่ที่เราไปประจำ และรู้จัก ส่วนมากก็ไปหาที่ที่มีน้ำมีท่า พักกันสักคืนสองคืน
คุยกัน ใหม่ๆ ก็เอามัน มีรถ แต่งรถ ยิ่งติดยิ่งสนุก แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว
หมดแรง"
สิ่งที่เขาได้จากการออกแคมป์ แม้จะต่างไปจากสมัยที่ออกเดินป่ากับบิดา แต่เขาก็ยังได้รสชาติแบบเดิม
"ผมคิด ว่ามันก็เป็นอะไรที่ได้สอนให้เราได้ทำอะไรเอง และได้อยู่กับธรรมชาติบ้าง
อย่างน้อยไม่คิดอะไรมาก ก็ได้อากาศบริสุทธิ์ อาบน้ำห้วยเป็น ลูกผมก็เอาไป
เด็กๆ ก็สนุกอยู่แล้วทำให้ได้สัมผัสธรรมชาติ เหมือนผมที่พ่อเอาผมเข้าป่าตอนเด็ก
ทำให้เราไม่เห็นว่าอะไรสกปรกไปหมด ที่เราไปก็มีชาวบ้าน ซึ่งในเมืองนี่พวกเขาแทบจะเป็นตัวอะไรไม่ทราบ
แต่ในป่านี่เราแทบจะต้องเกาะติดพวกเขาทีเดียวเพราะกลัวหลงทาง เขาทำอะไรง่ายไปหมด
ทำให้เรามีความเคารพในคนแต่ละสาขาอาชีพที่เขามีความชำนาญ ไม่ว่าเขาจะมีฐานะอะไร
อยู่ตรงไหน เราให้ความเคารพเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญเพราะทำให้เรามองคนในลักษณะที่ดีเสมอ"
ผู้อ่านอาจรู้สึกว่าการไปพักผ่อนแบบนี้ถือเป็นการผ่อนคลายจากหน้าที่การงานอันเคร่งเครียด
แต่สำหรับชายผู้นี้ กิจกรรมเหล่านี้เป็นของเล่น ของชอบของเขา มันไม่ได้ช่วยให้เขาลดความเครียดลง
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องงานในยามที่เดินท่องในป่า หรือดำน้ำ หรือยิงปืนในเกม
รณยุทธ
"ผมไม่ได้คิดว่าการเดินทางแบบนี้เป็นการผ่อนคลาย อะไร แต่เป็นสิ่งที่เราชอบทำ
เป็นกิจกรรมที่เราชอบ ไม่ใช่เรื่องของการหลบไปคลายเครียดหรืออะไร เพราะผมว่าถ้าเหนื่อยที่สุดนี่
กลับบ้านกอดลูกก็หาย คือบางทีเราลืมไปว่างานก็คืองาน ตราบใดที่เรายังทำก็มีปัญหา
ตราบใดที่เราขยายงานก็ต้องเจอปัญหา เขาจ้างเรามาทำมาเจอปัญหา ซึ่งปัญหาบางอย่างแก้ได้วันนี้
บางอย่างแก้ได้พรุ่งนี้ บางอย่างแก้ไม่ได้เลย คือบางทีเราลืมคิดถึงหลักความจริงของชีวิตเหล่านี้ไป"
นี่คือหลักความจริงที่เขายึดถือ
เขาให้แง่คิดอีกว่า "เราเหนื่อย เพราะเราคิดถึงมันตลอดเวลาหมาย ถึงเรื่องงานนะครับ
แต่ถ้าเราไปทำอย่างอื่นซะ ไปคิดเรื่องอื่น ไปทำอย่างอื่นซะ ไม่ได้กังวลเรื่องงาน
ก็ทำให้เราหยุดการติดต่อเรื่องงานไป ซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่ามีปัญหาที่ร้ายแรงอะไร
แต่เมื่อเราหยุดไป แล้วค่อยกลับเข้ามาคิดใหม่นี่บางทีมันมีมุมมองใหม่ มันก็แปลกว่าทำไมตอนนั้นไม่คิดอย่างนี้
ทำไมไม่มองอย่างนี้ หรือไปแล้ว ได้ไปคุยกับคนอื่น ก็อาจจะได้แง่คิดอะไรใหม่ๆ
มาก็ทำให้ได้มุมมอง ได้แง่คิดอะไรใหม่ๆ เสมอ"
นอกจากกิจกรรมแคมปิ้งเดินป่าแล้ว เขายังนิยมการดำน้ำ ซึ่งก็เป็นกีฬาที่มีผู้คนนิยมกันอยู่พักหนึ่ง
และเขาก็ด้วยเช่นกัน แต่เขาเป็นประเภทที่ทำอะไรก็ทำจริงจังเป็นเรื่องๆ ไป
"เรื่องดำน้ำตอนนี้ก็น้อยลง แต่เมื่อมีทริปแปลกๆ ก็ชอบไป สมัยแรกๆ ก็ดำทุกเสาร์อาทิตย์
ดำจนชวนเจ้าของร้านคือชวนเพื่อนๆ ถือหุ้นกับเขา แล้วชวนเขามาดำน้ำด้วย ดำจนตอนนี้ก็ยังมีร้านอยู่ที่พัทยา"
แหล่งดำน้ำของเขานั้นก็คือแถบที่ผู้รักโลกใต้น้ำนิยมกันคือ สิมิลัน ภูเก็ต
นี่คือสุดยอด แต่ในระยะหลังมีผู้นิยมไปดำน้ำในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์
แต่วรพงศ์ไม่ได้ไป "ผมขี้เกียจเดินทาง เดินทาง 3 วัน ดำน้ำแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ผมไม่เอา เพราะดำน้ำวันหนึ่งก็ทำได้แค่เช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมง"
แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไปดำน้ำในต่างประเทศเหมือนกัน แต่ไปกับเพื่อนที่มีเรือของตัวเอง
"ตอนหลังนี่คือบังเอิญเพื่อนมีเรือ เราไปฟรี มักไปได้ไกลๆ เคยไปถึงหมู่เกาะอันดามัน
ตอนใต้ของพม่า ก็แปลกดี คือนั่งเรือไป 36 ชั่วโมง แล้วก็อยู่แถวอ่าวไทย ดูความลึกประมาณ
90 เมตร 200 เมตร พอออกไปจากจุดนี้ ความลึกถึง 20,000-30,000 ฟุต สเกลแตกต่างกันมาก
ลึกมาก เราไม่เคยไปถึงขนาดนี้ แต่ก็ดี แปลกดี ผมชอบที่จะไปในที่ที่ผจญภัยหน่อย
จุดที่ยังไม่เคยมีคนดำเลย คือผมไม่ค่อยดูปะการังแล้ว ในเขตพม่า นี่ปลาฉลามเยอะมาก
มีมาวนดูเราบ้าง แล้วส่วนมากเราก็ไปหาเกาะ ดูแผนที่เอา" ก็เป็นการผจญภัยอีกแบบหนึ่ง
โดยทริปหนึ่งที่ไปกันมีประมาณ 3-4 คน ถึง 5-6 คน ไม่มากจนเกินไป
การที่เขาเดินทางเช่นนี้ ก็มีห่วงอยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะครอบครัว ซึ่งเขาจะต้องคอยโทรศัพท์รายงานตลอด
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะครอบครัวตระกูล นันทาภิวัฒน์นั้นมีโรคประจำตระกูล
หรือเป็นกรรมพันธุ์กัน คือหัวใจวาย
"ครอบครัวผมนี่หัวใจวายตายทุกคน มันเป็นกรรมพันธุ์ ตั้งแต่ คุณพ่อ
คุณลุง (สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์) คุณปู่ คุณอา (อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์) และก็คิดว่าเดี๋ยวเราก็ตาย
เมื่อไหร่ไม่รู้"
จุดนี้ก็ช่วยให้เขาเข้าถึงหลักอนิจจังแห่งชีวิตได้ง่าย เขากล่าวว่า "กรรมพันธุ์ที่ว่านี่ทำให้เราไม่ลืม
เราไม่ประมาท เราไม่ได้เดือดร้อนว่าต้องทำอย่างโน้นนี้ เราต้องการทำให้ดีกับตัวเองกับครอบครัว
กับผู้ถือหุ้น กับส่วนรวม เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะว่าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เราทำเต็มที่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้ทำ เราก็ไม่เดือดร้อนเพราะสิ่งที่เราทำมาเราทำได้ดีที่สุดแล้ว
คือมักจะคิดอย่างนี้ ก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด แต่ต้องไปโกรธใครเครียดใครนี่ไม่ดีแน่"
ตระกูลนันทาภิวัฒน์จะมีไขมันในเส้นเลือดสูงทุกคน คือระดับ 200 ขึ้นไปทั้งนั้น
นอกจากกิจกรรม 2 อย่างข้างต้น สิ่งที่ควบคู่ไปกับการเดินป่าคือการยิงปืน
ซึ่งตอนนี้เขาเป็นที่ปรึกษาของชมรมสิงห์รณยุทธ ที่มีสมาชิกในระดับพันคนทีเดียว
เขากล่าวถึงการแข่งยิงปืนว่า "ผมไปแข่งก็คือทำสนุก เพราะผมถือว่านี่เป็นของเล่น
บางคนนี่เขาจริงจังมาก แต่หากจะเล่นกับผมนี่ต้องเล่นแบบสนุกๆ ซึ่งหากจะไปแข่งนี่เป็นประเภทเฮฮา
ก็มีที่ร่วมด้วยหลายรายการอยู่"
ก่อนหน้านี้เขานิยมการยิงเป้าบิน ซึ่งเป็นเกมที่มีเครื่องดีดให้เป้ากลมๆ
ที่ทำจากกระเบื้องดินเผาปลิวขึ้นไป แล้วประทับปืนเล็กยาวยิงเป้าที่กำลังบิน
แต่ตอนนี้เขาหันมาสู่การเล่นเกมในชมรมสิงห์รณยุทธ
"การยิงเป้าธรรมดามันน่าเบื่อ เพราะไม่มีแอคชั่น แต่การแข่งแบบนี้เราได้มีแอคชั่น
คิดว่าตัวเองเป็นแรมโบ้ แฟนตาซีสักหน่อย การยิงตรงนี้ต้องทั้งเร็ว ทั้งเคลื่อนไหว
เล็งเร็วไกลดี ปืนต้องไม่ติดขัด มีเป้า มีตัวประกัน คล้ายในโปรแกรมคอมพิวเตอร์"
ชมรมนี้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีคนที่เข้ามาร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้สนใจไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก
เพราะปืนที่ใช้ราคาไม่แพง และลูกกระสุนก็ไม่แพงด้วย
วรพงศ์ นันทาภิวัฒน์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากกีฬากลางแจ้งหลายประเภท ที่ช่วยให้เขาเข้าใจและมีมุมมองต่อชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง