คุ้นหูคุ้นตากันดีสำหรับบุคคล ชื่อ อาสา สารสิน เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันให้
บมจ.ผาแดง อินดัสทรี เกิดขึ้นได้จนกระทั่งสร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นและประเทศเป็นจำนวนมาก
อาสา จบการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่
Dulwich College ประเทศ อังกฤษ และศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ Wilbraham
Academy อเมริกา จากนั้นได้รับปริญญาทางการบริหารธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกิ้นส์ และมหาวิทยาลัยบอสตัน ของอเมริกา
ด้วยพื้นฐานของตระกูลที่ผูกพันอยู่กับงานราชการและความมุ่งมั่นของอาสาเองที่ต้องการรับใช้ชาติ
ทันทีที่จบการศึกษาจึงได้เข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศในตำแหน่งฝ่ายเลขานุการตรี
กรมเศรษฐกิจ จนได้เลื่อนขั้นและเข้ารับราชการในตำแหน่งเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว
จากนั้นไปเป็นเลขานุการเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
จนกระทั่งปี 2517 ได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และในที่สุดได้เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม ณ
จุดนี้เอง คือจุดหักเหชีวิตของอาสา ก่อนที่จะเข้ามาทำงานในผาแดงฯ เนื่องจากรัฐบาลไทยกำลังมองหาผู้ร่วมทุนเพื่อก่อตั้งผาแดงฯ
ซึ่งบริษัท เวียงมองตาน (Vielle Montagne S.A.) คือเป้าหมาย ของรัฐบาลไทยในขณะนั้น
ดังนั้นงานของอาสา คือ เป็นผู้รับผิดชอบการเจรจากับเวียงมองตาน ในที่สุดปี
2524 งานของอาสาก็ประสบความสำเร็จ โดยเขาเป็นผู้ดูแลสัญญาต่างๆ ของผู้ร่วมทุนทั้งไทยและเบลเยียม
จากนั้นอาสาก็กลับมาเป็นอธิบดีกรมการเมือง เป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
และตำแหน่งสุดท้ายของการเป็นข้าราชการของอาสา คือ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน
สหรัฐอเมริกา
1 เมษายน 2531 อาสาได้เข้ามารับงานในผาแดงฯ อย่างเต็มตัวในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหลังจากถูกทาบ
ทามมาแล้วเมื่อครั้งยังเป็นเอกอัครราชทูตไทยในเบลเยียม และนี่คือองค์กรภาคเอกชนแห่งแรกที่อาสาเข้ามาบริหารงานอย่างเต็มตัว
และองค์กรอย่างผาแดงฯ ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรของอาสา แต่กลับมีความคุ้นเคยต่อกันอย่างมาก
เพราะอาสาคือคีย์แมนคนหนึ่งที่ได้ร่วมก่อตั้งขึ้นมากับมือ
บริหารงานได้ไม่นาน อาสาต้องกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้ง ในยุคอานันท์ ปันยารชุน
เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ "อานันท์ 1" ซึ่งได้เข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ส่วนงานในผาแดงฯ ในช่วงที่อาสาไม่อยู่ ก็มีประวิทย์ คล่องวัฒนกิจ ทำงานแทนในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
และหลังจากหมดยุครัฐบาลอานันท์ 1 อาสาได้กลับเข้ามาทำงาน ในผาแดงฯ ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารและประธานผู้บริหารสูงสุด
ขณะที่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการยังเป็นของประวิทย์
หน้าที่ใหม่ของอาสา คือ ดูแล กำกับและวางนโยบายโครงการขยายกิจการต่างๆ
ของบริษัท โดยจะเป็นผู้ติดต่อเจรจากับผู้ร่วมลงทุนต่างประเทศ การดูแลบริหารพนักงานทั้งหมดตลอดจนการประสานงานดูแลทั้งผาแดงฯ
และบริษัทในเครือ และเมื่อรัฐบาล "อานันท์ 2" กลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง
อาสาก็กลับไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและเมื่อหมดยุคอานันท์
เขาก็กลับเข้ามาทำงานในผาแดงฯ ดังเดิม
นอกจากนี้อาสายังได้ดึงโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เข้ามาดูแลในด้านวางแผนและนโยบายต่างๆ
ในฐานะรองกรรม การผู้จัดการ ในช่วงนี้ทั้ง อาสา-ประวิทย์-โฆษิต จึงถูกขนานนามว่า
3 ทหารเสือ
อย่างไรก็ตาม 3 ทหารเสือก็ต้องสลายตัวไปเมื่อธุรกิจของผาแดงฯ เริ่มสั่นคลอน!!
ปี 2538 ประวิทย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และได้ธีระชัย เหรียญทรัพย์ดี
เข้ามาดำรงตำแหน่ง แทน แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเมื่อปี 2540
จนวันนี้ผาแดงฯ ก็ยังไร้ผู้บริหารที่จะมานั่งในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ
แต่ก็ได้อาสามานั่งควบ 2 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็นงาน ที่หนักพอสมควรสำหรับชายชื่อ
อาสา แต่จากอดีตถึงปัจจุบันผลงานที่อาสาสร้างให้กับผาแดงฯ นับว่ามากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าผาแดงฯ
ขาดแม่ทัพคนนี้ไม่ได้ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือสัญลักษณ์ของผาแดงฯ เพราะการเติบโตทางธุรกิจและการแตกไลน์ของผาแดงฯ
จนก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศเกิดจากฝีมือของอาสา!
แม้ว่าองค์กรนี้จะมีผู้บริหารเดินเข้าเดินออกไม่ว่าจะเหตุผลพ้นวาระหรือไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ตาม
แต่อาสายังยืนหยัดเคียงข้างผาแดงฯ จนถึงทุกวันนี้ เพราะนิสัยโดยส่วนตัว แล้วเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ
ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ และยิ่งมาเจอกับปัญหาด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ยิ่งทำให้องค์กรต้องพึ่งผู้นำที่มีประสบการณ์อย่างมากและยังต้องนั่งควบ 2
ตำแหน่ง ทำให้การตัดสินใจในการดำเนินงานของผาแดงฯ ขึ้นอยู่กับเขาเป็นหลัก
คงต้องติดตามต่อไปว่าอาสาจะสามารถนำองค์กรเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียว ที่อาสาเข้ามาทำงานว่าจะกู้ชื่อกลับมาให้โด่งดังรุ่งเรืองเช่นอดีตได้หรือไม่!!