บริเกต์ปรับกลยุทธ์ผลิตรุ่นราคาต่ำลงและปรับปรุงคุณภาพร้านค้า


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

มร.ฌอง โจเซฟ จาโคเบร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Groupe Horologer Brequet มีการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทำให้บริเกต์ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้อย่างน่าพอใจ

ผลิตภัณฑ์นาฬิกาบริเกต์เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้มีฐานะดี ซึ่งเมื่อก่อนมีจำนวนกว้างมาก เพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก แต่มาในช่วง 2 ปีนี้ เศรษฐกิจย่ำแย่ลงมาก และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในทันตาเห็น ด้วยเหตุนี้บริษัทจำนวนมากที่ทำมาค้าขายในทั่วโลก ต่างต้องปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจไปตามๆ กัน

การที่จะหวังยอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเหมือนเช่นเมื่อก่อนนั้น เลิกฝันได้เลย แต่ทำอย่างไรยอดขายจะยังมีอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และลูกค้ายังคงมีความภักดีต่อสินค้า เป็นเรื่องสำคัญกว่า

นาฬิกาบริเกต์นั้นเริ่มปรับกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็เริ่มเห็นผลดีในช่วงนี้ กล่าวคือยอดขายยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจ สวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำในเอเชีย

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริเกต์มีความเข้มแข็งขึ้น ทั้งในด้านของภาพพจน์ของสินค้า การบริการและการตลาด ในช่วงที่ผ่านมาก็มีการแนะนำสินค้ารุ่นใหม่ออกมาเพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น โดยเน้นจับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่งที่บริเกต์ยังไม่มีฐานลูกค้ามากนัก นอกจากนี้บริเกต์ก็ได้ พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีกับบริษัทคู่ค้า คือ แฟรงค์จิวเวลรีฯ ให้ดียิ่งขึ้น

นาฬิการุ่นใหม่ที่แนะนำออกมานี้จะมีราคาถูกลง โดยสิ่งที่ลดลงคือเรื่องราคา แต่ว่าคุณภาพและความน่าเชื่อถือยังเที่ยงตรงยังคงเหมือนเดิม

มร. ฌอง โจเซฟ จาโคเบร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Groupe Horologer Brequet กล่าวว่า "นาฬิกาบริเกต์รุ่นใหม่ๆ ยังคงความน่าเชื่อถือเที่ยงตรง เช่นเดียวกับนาฬิการุ่น complicate หรือรุ่นที่แพงๆ"

แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะย่ำแย่ลง แต่สถานการณ์การขายของบริเกต์ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และจากงานบาเซิล แฟร์ที่จัดไปเมื่อเดือนเมษายน 1998 ผลการแสดงสินค้ารุ่นใหม่นับว่าได้ผลดีมาก เพราะยอดการจองในแง่ปริมาณนั้นเพิ่มขึ้นถึง 38% และในแง่ของมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 46%

บริเกต์พยายามขยายกลุ่มเป้าหมายลูกค้ามากขึ้น ด้วยการออกนาฬิการูปทรงใหม่ที่เป็นทรงถัง ซึ่งส่วนพิเศษนอกจากส่วนโค้งด้านหน้าแล้ว เมื่อวางนาฬิกาลงมองจากด้านข้างจะเห็นลักษณะโค้ง ทั้งกระจก ตัวเรือน เครื่องยนต์ และด้านในเห็นทรงโค้งหมด นี่คือลักษณะพิเศษที่นาฬิกาแบบอื่นๆ ไม่มี

นาฬิกา สแตนเลส สตีล รุ่น fly back ผลิตออกมาเมื่อ 3 ปีก่อน เป็นนาฬิกาที่มีระดับราคาต่ำลงกว่ารุ่นปกติ เพราะมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่า นอกจากนี้จะมีการผลิตรุ่น functional line ออกมาในปี 1999 เพื่อรองรับตลาดนี้ให้กว้างขึ้นและให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน (มี 3 รุ่นสำหรับผู้ชาย และ 2 รุ่นสำหรับผู้หญิง) การวางแผนโปรโมชั่นของบริเกต์ในไทยปีนี้ จึงออกมาในลักษณะของการจัดนิทรรศการ เพื่อให้ผู้สนใจทั่วไปได้รู้จักประวัติความเป็นมาของนาฬิกาบริเกต์ชัดเจนขึ้น โดยในนิทรรศการนี้จะมีการแสดงผลงานเด่นของนาฬิกาบริเกต์ อาทิ หน้าปัดที่แกะสลักด้วยมือเป็นลวดลายต่างๆ ที่มีความ สวยงามยิ่งที่เรียกว่า กิโยเช่ โดยมีการนำช่างแกะสลักชาวสวิสมาสาธิตวิธีการแกะสลักให้ชม

เมื่อกล่าวถึงส่วนแบ่งในตลาดเอเชียมีค่อนข้างมากคือ ประมาณ 41% ยุโรป 42% ส่วนทางสหรัฐฯ ประมาณ 17% แต่ ในอนาคตบริษัทฯ จะเพิ่มสัดส่วนในสหรัฐนฯ ให้มากขึ้น บริเกต์ ได้เปิดบริษัทขึ้นในสหรัฐเมื่อเดือน พ.ย. 1996 ซึ่งปรากฏว่าผลประกอบการในช่วง 7-8 เดือนมียอดขายสูงกว่ายอดขายรวมของปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงว่าตลาดมีการขยายตัวสูงมาก

การเติบโตที่เกิดขึ้นมีทั้งในส่วนของยอดขายและจำนวนเรือน โดยเมื่อสิ้นเดือน มิ.ย. 1997 (รอบปีบัญชี ก.ค.-มิ.ย.)ในส่วนของจำนวนเรือน บริเกต์มียอดขายทั่วโลกเพิ่ม 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ก.ค.1995-มิ.ย.1996) ขณะที่ราย ได้ทั่วโลกก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 46% และมีกำไรทั่วโลกเพิ่มขึ้น 67%

ส่วนยอดขายในเอเชียนั้นมีประมาณ 10% ของรายได้รวมข้างต้น

ด้านจำนวนของร้านค้าที่ขายนาฬิกาบริเกต์ ก่อนหน้านี้มีจำนวนร้านค้า 550 ร้าน บริษัทลดจำนวนร้านค้าลง จนปัจจุบันมีอยู่เพียง 250 ร้านเท่านั้น และยังมีเป้าหมายที่จะลดลงเหลือแค่ 190 ร้านค้า โดยบริษัทมองว่าสินค้าของบริษัทนั้นเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์สูงและมีราคาแพง ดังนั้นบริษัทจึงต้องเลือกร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าให้เหมาะสม และข้อสำคัญบริษัทสามารถดูแลร้านค้าเหล่านั้นได้อย่างทั่วถึงด้วย

มร.จาโคเบร์ ยกตัวอย่างประกอบว่า "ก่อนหน้านี้เรามีตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐฯ 65 ราย แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 35 รายแล้ว ซึ่งบริษัทสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงและสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ครบ การมีตัวแทนจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันกันเองและมีการให้ส่วนลดที่ต่างกัน ทำให้เกิดผลเสียต่อยอดขายรวมของบริษัทในที่สุด"

อย่างไรก็ดี เมื่อลดจำนวนร้านค้าลงเหลือ 190 ร้านแล้ว บริษัทก็จะเพิ่มจำนวนร้านค้าขึ้นใหม่ให้เป็น 250 ร้าน ซึ่ง มร.จาโคเบร์มองว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บริเกต์ในทั่วโลก โดยร้านที่จะเพิ่มขึ้นใหม่นั้นจะอยู่ในแถบยุโรป อเมริกา อเมริกาใต้ เอเชีย (อินเดีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์)

ราคาผลิตภัณฑ์บริเกต์ (average price) ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.5% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาไม่ใช่ปัญหาในการขยายตัวของบริเกต์ไปสู่ตลาดนอกทวีปยุโรป

ก่อนหน้านี้บริเกต์ไม่เคยผลิตนาฬิกาที่มีราคาต่ำกว่า 15,000 ฟรังก์ แต่ระยะหลังเริ่มมีการผลิตในราคาที่ต่ำลงมาเป็น 6,900 ฟรังก์และราคา 9,500 ฟรังก์ ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยม ส่วนรุ่น functional ที่จะมีการแนะนำในปี 1999 นั้นจะมีราคาประมาณ 11,000 ฟรังก์

บริษัทมีนโยบายที่จะทำราคาทั่วโลกให้เท่ากันเป็นลักษณะ worldwide price แต่อย่างไรก็ตาม ราคาของสินค้าในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับภาษีสินค้านำเข้าของแต่ละประเทศ โดยเฉลี่ยราคาสินค้าในเอเชียจะสูงกว่าราคาขายปลีกที่สวิตเซอร์แลนด์ประมาณ 5%-12% ซึ่งถือเป็นส่วนต่างที่สมเหตุสมผลเพราะลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปซื้อที่ยุโรป

ก่อนหน้านี้บริเกต์มีรุ่นนาฬิกาที่ประดิษฐ์ขึ้นมาขายถึง 1,400 กว่ารุ่น แต่ตอนนี้ได้ลดจำนวนรุ่นลงเหลือเพียง 100 กว่ารุ่น ซึ่งล้วนเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมสั่งซื้อมากทุกรุ่น และยังมีการแนะนำรุ่นใหม่ๆ ออกมาอีกเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยรุ่นใหม่ๆ นั้นมีราคาต่ำลง วิธีการเช่นนี้เป็นการช่วยบริหารสต็อกผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้เหลือน้อยลง ขณะที่มียอดขายเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมียอดสั่งซื้อในมือนับจำนวนหมื่นๆ เรือนที่ยังไม่ได้ผลิต เพื่อส่งมอบบริษัทมียอดการผลิตปีละ 7,000 กว่าเรือน และเพิ่มขึ้นมาเป็น 8,500 เรือน ซึ่งคาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้ บริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เป็น 15,000 เรือนต่อปี

ศักยภาพในการที่จะผลิตให้ได้เป็นจำนวนมากนั้น บริษัทสามารถทำได้ทันที แต่ยังระวังในเรื่องคุณภาพ จึงจะดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ เมื่อปี 1995-1996 นั้น บริษัทมีกำลังการผลิตเพียงปีละ 4,500 เรือนเท่านั้น ช่วง 2 ปีที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตมากเนื่อง จากมีการผลิตรุ่นใหม่คือ fly back ซึ่งมีราคาย่อมเยา และมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่สามารถขายได้ดีมาก จึงมีความต้องการสูงมากตามมา

นาฬิกาที่มีความสลับซับซ้อนน้อยก็จะใช้เวลาน้อยลงในการผลิต ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมากกว่านาฬิการุ่นที่มีความสลับซับซ้อนมาก นี่คือเหตุผลที่บริษัทสามารถผลิตจำนวนนาฬิกาเพิ่มขึ้นได้มากในช่วง 2 ปีหลัง

กลุ่มบริเกต์มีบริษัทในเครือรวม 4 แห่ง มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาและประกอบนาฬิกา มีช่างนาฬิการวม 95 คน ซึ่งถือว่าน้อยไป บริเกต์ต้องการช่างฝีมือเพิ่มให้ได้ประมาณ 150 คน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.