พงศ์พันธ์ พงษ์ศิริบัญญัติ : "สายตาของต่างชาติที่มองประเทศไทย เขายังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีอนาคตอยู่
เพียงแต่รอให้เศรษฐกิจดีขึ้นก่อน หน้าที่ของผมก็คือ พยายามหาหนทางให้ร้านทองต่างๆ
อยู่รอดได้"
หลังจากพยายามผลักดันให้รัฐบาลผ่อนปรนลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ของการซื้อขายทองคำมาเป็นเวลานาน
โดยไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จได้ง่าย ล่าสุดพงศ์พันธ์ พงษ์ศิริบัญญัติ ผู้จัดการประจำประเทศไทยแห่งสมาพันธ์ผู้ผลิตทองคำโลก
ได้ร่วมกับประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
จัดตั้งคณะกรรมาธิการธนาคารผู้ผลิตทองคำแห่งอาเซียน (ASIAN CENTRAL BANK
ADVISORY BOARD) ซึ่งเป็นทีมงานที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นเวทีสำหรับการถกปัญหาและหาแนวทางแก้ไขของประเทศสมาชิก
โดยสมาพันธ์ทองคำประเทศไทยจะนำปัญหาการจัดเก็บ VAT ทองคำที่ยังคาราคาซังอยู่
เข้าไปถกในเวทีนี้ด้วย ในการประชุมนัดแรกที่จะมีขึ้นประมาณกลางเดือนตุลาคมนี้ที่สิงคโปร์
และงานนี้พงศ์พันธ์ได้ทาบทาม ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร จาก TDRI ให้เข้านั่งเป็นตัวแทนของประเทศไทยในบอร์ดชุดนี้ด้วย
"เราจะผลักดันปัญหา VAT เข้าไปในบอร์ดนี้ด้วย เพื่อเป็นอีกวิธีหนึ่ง
หลังจากที่เราทำมาหลายวิธีแล้ว วิธีนี้อาจจะทำให้อำนาจการต่อรองของเรากับรัฐบาลดีขึ้น
สำหรับ ภาษี VAT ถ้าไม่เก็บเลยจะดีมาก หรือหากต้องเก็บควรเก็บจากค่ากำเหน็จ
มิใช่เก็บจากมูลค่าทองคำทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอัตราที่มากเกินไป
นอกจากนั้นบอร์ด นี้ยังมีการพูดคุยกันในเรื่องภาพรวมของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศด้วย
อาทิ การนำทองคำที่เป็นทุนสำรองของแต่ละประเทศมาออกพันธบัตร เป็นต้น"
พงศ์พันธ์ชี้แจง นับเป็นความโชคดีของผู้ประกอบการและผู้บริโภคทองคำ ที่มีองค์กรเข้ามาช่วยผลักดันในเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในขณะที่สินค้าอื่นที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นยังไม่มีใครเข้ามาดูแลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
และนี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายกิจกรรมของสมาพันธ์ผู้ผลิตทองคำแห่งประเทศไทยทำในปีนี้
และปี'41 นี้สมาพันธ์ฯ มีอายุย่างเข้าปีที่ 8 แล้ว โดยในแต่ละปีทางสมาพันธ์ฯ
จะเน้นกิจกรรมที่แตกต่างกันไปภายใต้นโยบายหลักขององค์กร ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคทองคำภายในประเทศไทย
ผ่านกิจกรรมต่อไปนี้
กิจกรรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ กิจกรรมการล็อบบี้เรื่องกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทองคำในประเทศ
รวมทั้งจัดทำงานวิจัยตลาดผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายข้อมูลที่ได้มาไปสู่ผู้ประกอบการที่มีอยู่มากกว่า
7,000 รายทั่วประเทศ ให้รับรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภค และจัดกิจกรรมแนะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ
เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมนี้ด้วย
"ในปีแรกของการก่อตั้งสมาพันธ์ฯ ได้เน้นการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก
ประจวบกับเป็นช่วงที่โกลด์มาสเตอร์เข้ามาในตลาดพอดี เราก็ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์
จากนั้นก็ตามมาด้วยพรีม่าโกลด์ ฮั่วเซ่งเฮง เป็นต้น นั่นคือยุคแรกที่ตลาดทองเริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องของการโฆษณา"
พงศ์พันธ์เล่า จากนั้นในปีถัดๆ มากิจกรรมจะเน้นทางด้านการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ
มาผลิต เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ลดค่าเงินบาทแล้ว ปริมาณการซื้อขายทองคำในประเทศ
ไทยลดลงมากกว่า 80% และเพื่อเป็นการกระตุ้นผู้ผลิตทองคำรูปพรรณของไทยเร่งพัฒนาฝีมือในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ทางสมาพันธ์ฯ จึงได้จัดสัมมนาเทคโนโลยีการผลิตทองคำในหัวข้อ "แนวทางการพัฒนารูปแบบทองรูปพรรณในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ"
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่างๆ มาบรรยายในหัวข้อต่างๆ
รวมทั้งให้คำแนะนำเทคนิคใหม่ๆ ในการผลิตทองน้ำหนักเบาที่มีคุณภาพสูง อาทิ
วิธีการปั๊มขึ้นรูป (STAMPING) วิธีทำเครื่องทองกะรัตชนิดกลวง (HOLLOW JEWELLERY)
และเทคนิคการขึ้นรูปผิวด้วยไฟฟ้า (ELECTROFORMING) เป็นต้น
"ตั้งแต่หลังลดค่าเงินบาท ตลาดทองได้รับผลกระทบหนัก ยอดขายหายไปประมาณ
80-90% ร้านทองมีแต่การรับซื้อคืน แทบจะไม่มีการขายออก ฉะนั้นเราต้องช่วยหาทางออกให้เขา
อาทิ ให้ข้อมูลตลาดส่งออก ขณะเดียวกันเราก็ไม่ทิ้งตลาดในประเทศ การจัดสัมมนาครั้งนี้เรา
จึงได้นำเอาบทเรียนของบริษัทหลายบริษัทในประเทศอิตาลีที่ครั้งหนึ่งเมื่อ
10 กว่าปีที่แล้ว เคยประสบกับวิกฤตเช่นนี้มาก่อนและเขาก็สามารถผ่านเหตุการณ์นั้น
จนกลายเป็นผู้นำตลาดทองคำโลกได้ และทางออกที่เราสรุปเสนอให้แก่ผู้ผลิตทองคำในไทยก็คือ
การผลิตสินค้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมแต่น้ำหนักเบาลงและราคาถูกลง เพื่อจูงใจให้เกิดแรงซื้อมากขึ้น"
พงศ์พันธ์กล่าว
นอกจากนั้น ในปีนี้สมาพันธ์ฯ ของไทยได้ส่งตัวแทนผู้ประกอบการทองคำ 3 รายคือ
บริษัท พรีม่าโกลด์ จำกัด, บริษัท บ้านช่างทอง จำกัด และบริษัท แฮง ออน จำกัด
เข้าประกวดในงานสุดยอดแผนการตลาดสำหรับผู้ค้าทองคำในเอเชีย "WGC AWARD
FOR ASIA GOLD MARKETING EXCELLENCE 1998" ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกที่นครเซียงไฮ้
และมีรางวัลให้ส่งเข้าประกวดสูงถึง 10 ประเภท
โดยคณะกรรมการจะพิจารณารางวัล จากรายงานแผนงานการตลาดของแต่ละบริษัทในภูมิภาคเอเชีย
ที่เริ่มดำเนินการในระหว่างเดือน มิ.ย.39 - ส.ค. 41 และรายงานสรุป แผนการตลาด
1 ฉบับสามารถส่งเข้าประกวดเพื่อชิงรางวัลได้สูงสุด 3 ประเภท ซึ่งคณะกรรมการจะพิจารณาในแง่ของความสมเหตุสมผลในการวางกลยุทธ์
ความคิดสร้างสรรค์ และผลการดำเนินงานตามแผนนั้นๆ ประกอบกับผู้เข้าประกวดสามารถส่งสื่อนำเสนอผลงาน
เช่น วิดีโอ ภาพข่าว ผลการวิจัยตลาด เข้าร่วมการพิจารณาได้ด้วย
"สายตาของต่างชาติที่มองประเทศไทย เขายังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีอนาคตอยู่
เพียงแต่รอให้เศรษฐกิจดีขึ้นก่อน หน้าที่ของผมก็คือ พยายามหาหนทางให้ร้านทองต่างๆ
อยู่รอดได้" พงศ์พันธ์กล่าว