ปราโมทย์ สันติวัฒนา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดน้ำมันรำข้าว "คิง" : "น้ำมันรำข้าวใช้วัตถุดิบจากรำข้าวที่ได้จากอุตสาหกรรมการสีข้าว
หากเราไม่พัฒนาต่อก็เท่ากับเป็นการตัดตอนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมข้าวไทย"
พิษเศรษฐกิจส่งผลให้ยอดขายน้ำมันรำข้าวคิงไม่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่จากพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้บริโภคในปัจจุบัน
ที่หันมาใส่ใจกับสุขภาพของตนเองกันมากขึ้น ประกอบกับ "คิง" เป็นน้ำมันพืชที่ผลิตจากรำข้าว
100% ที่ได้มาจากการสีข้าว ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย เท่ากับเป็นการส่งเสริมการใช้สินค้าไทย
ทำให้ปราโมทย์ สันติวัฒนา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ
บริษัท น้ำมันบริโภคไทย จำกัด กล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า "จะยังคงมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อการบริโภค
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ที่มีความต้องการสินค้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น
โดยจะมุ่งเน้นไปยังน้ำมันที่ผลิตจากรำข้าว 100%"
น้ำมันรำข้าวจัดว่าเป็นน้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เนื่องจากประกอบด้วยสารอาหารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดด้วยกัน
ได้แก่ กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว (UNSATURATED FATTY ACID) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาคอเรสเตอรอล
ที่เป็นผลดีต่อร่างกายที่ช่วยในการซ่อมแซมผนังหลอดเลือดไม่ให้เปราะง่าย รวมทั้งช่วยกำจัดคอเรสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
สารโอรีซานอล (ORYZANOL) เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย
และช่วยบำบัดอาการของระบบประสาทที่ผิดปกติได้ และวิตามิน E ชนิดที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของร่างกายได้ดีขึ้น ลดการเผาผลาญของร่างกาย ชะลอความแก่ และที่สำคัญมีคุณสมบัติ
เป็นสารกันหืน (ANTIOXIDANT) ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นหืนในน้ำมันรำข้าว
โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนสังเคราะห์อื่น
จากองค์ประกอบทางสารอาหารที่สำคัญของน้ำมันที่สกัดจากรำข้าว ทำให้ผู้บริหารของบริษัทน้ำมันบริโภคไทย
ตัดสินใจลงทุนพัฒนาการการกลั่นน้ำมันให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น โดยเมื่อประมาณ
7 ปีที่แล้ว เริ่มต้นที่การพัฒนาในส่วนของการเก็บวัตถุดิบซึ่งถือเป็นหัวใจของการกลั่นน้ำมัน
เนื่องจากเดิมรำข้าวสดจะมีอายุการเก็บที่สั้นมากประมาณ 24 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่หลังจากที่มีการพัฒนาแล้วสามารถยืดอายุของรำข้าวสดได้นานถึง 10-20 วัน
"คุณภาพของรำข้าวสดจะเสื่อมตามเวลา โดยส่วนมากแล้วเราจะเก็บวัตถุดิบรอบบริเวณโรงงานไม่ไกลเกิน
150-200 ก.ม. เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการขนส่ง" ปราโมทย์ชี้แจง
เมื่อได้วัตถุดิบที่มีความคงที่มากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงเริ่มพัฒนาในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน
โดยได้นำเข้าเทคโนโลยีเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีมาประยุกต์ใช้ ให้สอดคล้องกับระบบการกลั่นน้ำมันรำข้าวที่ไม่มีแม่แบบที่ตายตัว
ซึ่งกว่าบริษัทฯ จะพัฒนาส่วนนี้ได้ก็กินเวลานานถึง 4-5 ปี จนปัจจุบันสามารถควบคุมมาตรฐานคุณภาพสินค้าได้ในระดับที่น่าพอใจแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าบริษัทฯ จะมีมาตรฐานการกลั่นน้ำมันที่ได้คุณภาพแล้ว
แต่ปัจจุบันน้ำมันรำข้าวดิบที่ผ่านการสกัดจากโรงงานสกัดของบริษัทฯ เองยังมีในปริมาณน้อยมาก
โดยส่วนหนึ่งยังต้องซื้อน้ำมันดิบจากระบบเข้ามากลั่นอยู่ เนื่องจากทางบริษัทยังไม่ได้มีการพัฒนาในส่วนของโรงสกัดน้ำมัน
เพราะเป็นส่วนที่ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง และเศรษฐกิจก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจำนวนมาก
แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้ละความพยายาม โดยกำหนดว่าภายใน 2 ปีที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีการฟื้นตัวนี้
เป็นช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลทำการวิจัยในการพัฒนาโรงสกัดน้ำมันนี้
บริษัทฯ มีโรงงานสกัดน้ำมันอยู่ที่จังหวัดอยุธยา ซึ่งอยู่ในแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศไทย
ทำให้สามารถรับรำข้าวที่ใหม่สดและมีคุณภาพดี เพื่อนำมาสกัดและผลิตเป็นน้ำมันรำข้าวคิง
โดยบริษัทสามารถสกัดน้ำมันรำข้าวดิบได้ 400 ตันต่อวัน และสามารถนำมากลั่นเป็นน้ำมันรำข้าวได้
60 ตันต่อวัน ทั้งที่โรงกลั่นใหม่ที่มีการพัฒนาแล้วสามารถผลิตได้มากกว่าเดิมถึง
1 เท่าตัว
"เรามองว่าน้ำมันรำข้าวเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
และวัตถุดิบที่นำมาใช้ได้มาจากข้าว ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรหลักของประเทศไทย
ฉะนั้นหากเราไม่พัฒนาต่อ ก็เท่ากับเป็นการตัดตอนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมข้าวไทย"
ผู้บริหารหนุ่มกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ปราโมทย์ยังเผยถึงแผนการตลาดที่มุ่งเน้นการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีอยู่ประมาณ
6-7% ของน้ำมันรวม โดยยึดกลุ่มลูกค้าเก่าเป็นหลัก และยังคงปฏิบัติกับลูกค้าหลักเหมือนเดิม
เช่น ไม่ลดจำนวนของที่จำหน่ายลง และคงให้เครดิตกับลูกค้ารายเดิมอยู่ แม้จะมีปัญหาในเรื่องของวงเงินบ้าง
เพราะปัจจุบันต้นทุนสินค้าราคาสูงขึ้น และบริษัทต้องยอมแบกภาระเรื่องดอกเบี้ยบางส่วน
แต่สิ่งที่ปราโมทย์คิดคือ เขาคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีการทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
"ปัจจุบันเศรษฐกิจขาดแคลนปริมาณเงิน สาเหตุใหญ่มาจากการซื้อขายเงินสด
ไม่มีการซื้อขายเครดิตกันดังเดิม เพราะไม่มีใครเชื่อใจใคร ซื้อขายเงินสดได้เงินมารอบเดียวก็ใช้รอบเดียว
จากเดิมที่เคยหมุนได้ 3-4 รอบฉะนั้น ถ้ามองในแง่ความอยู่รอดของเรากับลูกค้า
ถ้าเราประคองกันให้ดีโอกาสรอดทั้ง 2 ฝ่ายก็มีมาก แต่ถ้าต่างคนต่างเอาตัวรอด
ทุกคนดึงเงินสดออกทีละนิดทีละหน่อย ในที่สุดระบบก็จะพัง" ปราโมทย์กล่าวอย่างเชื่อมั่นในระบบเครดิตอยู่
นอกจากนั้น ปราโมทย์ยังวิเคราะห์วิกฤตเศรษฐกิจไทยในฐานะศิษย์เก่าเศรษฐศาสตร์จากรั้วเหลืองแดงรุ่น
14 ตุลา'16 ด้วยว่า "ผมคิดว่ากว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ก็คงประมาณปี
2543 เราต้องพยายามประคับประคองบริษัทให้อยู่รอดในภาวะต่อจากนี้ไปให้ได้"
ซึ่งเขาบอกว่า บริษัทน้ำมันบริโภคไทยได้มีการปรับตัวเตรียมรับสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว
ก่อนที่มีการลดค่าเงินบาท โดยมีนโยบายไม่รับพนักงานเพิ่ม และมีปรับลดบ้างในบางแผนก
อาทิ แผนกบรรจุภัณฑ์ จากเดิมที่เคยผลิตเองก็เปลี่ยนเป็นสั่งซื้อมาแทน และโอนย้ายพนักงานบางส่วนไปยังแผนกอื่น
หรือแผนกขนส่ง บริษัทก็มีนโยบายลดจำนวนพนักงานขับรถส่งของของบริษัทลง โดยให้เงื่อนไขให้แปรสภาพเป็นเถ้าแก่เอง
โดยบริษัทจะตัดรถให้พนักงาน 1 คันและให้พนักงานบรรทุกสินค้าในราคาต้นทุนของบริษัทไปขาย
ส่วนรายได้ที่ได้มาก็ตัดเป็นค่าลดผ่อนส่งไป วิธีนี้เท่ากับเป็นการลดภาระของบริษัท
และยังสร้างงานให้พนักงานมีงานทำต่อไปอีกด้วย ซึ่งบัดนี้สัดส่วนพนักงานของบริษัทลดลงประมาณ
20-30% แล้ว ใครจะยืมวิธีนี้ไปใช้บ้าง ปราโมทย์ ก็ไม่ได้สงวนสิทธิแต่อย่างใด