แผนฟื้นฟูกิจการของเอสวีโอเอ เป็นส่วนที่ตัดทอน
มาจากหนังสือ "ล้มแล้วรุก" ของแจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ เป็นสาระสำคัญที่สรุปได้ดังนี้
1. การโอนหุ้นในบริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ เพื่อหักลบหนี้กับเงินกู้ของบริษัทเอเซอร์
เซลส์ แอนด์ ดิสทริบิวชั่น โดยเอสวีโอเอได้จำนำหุ้นในบริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์
เพื่อเป็นหลักประกันเงินกู้จาก บริษัทเอเซอร์ เซลส์ แอนด์ ดิสทริบิวชั่น
หุ้นที่จำนำคิดเป็น 45% ของทุนที่ออกแล้วของ เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ โดยมีต้นทุนเงินกู้จำนวน
682.54 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 51.52 ล้านบาท
บริษัทเอเซอร์ เซลส์ แอนด์ ดิสทริบิวชั่น ยอมรับหุ้น 45% ในเอเซอร์คอมพิวเตอร์
ที่เอสวีโอเอถืออยู่ เพื่อหักกลบ ลบหนี้กับยอดเงินกู้บางส่วนที่เอสวีโอเอ
ค้างชำระต่อบริษัท เอเซอร์ มูลค่าของหุ้น 45% ของเอเซอร์ จะมีราคาอยู่ที่
250.36 ล้านบาท ส่วนยอดเงินกู้ที่เหลือประมาณ 432.18 ล้านบาท จะถือเป็นเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกัน
และจะดำเนินการตามวิธีเดียวกับสินเชื่อของเจ้าหนี้การเงินอื่นๆ ที่ไม่มีหลักประกัน
2. การโอนสินทรัพย์และหนี้สินบางชนิดให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจ ด้วยการชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ของ
เอสวีโอเอจะใช้นิติบุคคลเฉพาะกิจในรูปของบริษัท จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย เพื่อลดภาระภาษี
และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่างๆ เนื่องจากได้วางหลักเกณฑ์ให้เอสวีโอเอ
ดำเนินธุรกิจเฉพาะในส่วนของกิจการหลัก สินทรัพย์ที่ถูกโอนให้นิติบุคคลเฉพาะกิจ
จะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการหลักของเอสวีโอเอเลย
ทั้งนี้ เจ้าหนี้จะจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจขึ้น 2 ประเภท แยกส่วนการดูแลอสังหาริมทรัพย์
1. นิติบุคคลเฉพาะกิจสำหรับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อถือกรรมสิทธิ์ และจำหน่ายอาคารสำนักงานของเอสวีโอเอและที่ดินที่เกี่ยวข้องบนถนนพระราม
3 เงินสุทธิ ที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์ จะนำไปชำระให้แก่เจ้าหนี้ ของเอสวีโอเอ
2. นิติบุคคลเฉพาะกิจสำหรับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการถือกรรมสิทธิ์และจำหน่ายสินทรัพย์บางประเภท
อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่จะรับโอนมาจากเอสวีโอเอ โดยเงินสุทธิที่ได้รับจะนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของเอสวีโอเอ
3. ลดทุนครั้งที่ 1 เอสวีโอเอจะลดทุนจำนวน 100 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม
300 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 200 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทร่วมรับผิดชอบในผลเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าหนี้
4. การเพิ่มทุนและการแปลงหนี้เป็นทุน ภายหลังจากการ
ลดทุน เอสวีโอเอได้ออกหุ้นใหม่จำนวน 180 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท อันเป็นการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของบริษัท
จำนวน 1,800 ล้านบาท
ภายใต้แผนการเพิ่มทุนดังกล่าว เฉพาะหนี้การค้า จำนวน 25% ของหนี้ซึ่งค้างชำระต่อเอปสัน
จะถูกแปลงเป็นทุน ส่วนที่เหลือจะได้รับการชำระด้วยกระแสเงินสดจากกิจการที่จะดำเนินต่อไป
ธุรกรรมเหล่านี้จะใช้หุ้นใหม่จำนวน 7.8 ล้านหุ้น หุ้นที่เหลือ 180 ล้านหุ้น
หักด้วยหุ้นที่ออกให้แก่บริษัทเอปสัน จะถูกจัดสรรชำระให้แก่เจ้าหนี้ที่เหลือ
ตามสัดส่วนของสิทธิเรียกร้องที่ได้รับ
อนุญาต
การแปลงหนี้เป็นทุนนี้จะทำให้เจ้าหนี้ถือหุ้นที่ชำระแล้ว
มีสัดส่วนจำนวน 90% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เจ้าหนี้จะเป็นผู้ถือหุ้นข้างมากของเอสวีโอเอ
ภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างเจ้าหนี้
จะได้ประโยชน์จากราคาหุ้น เอสวีโอเอที่เพิ่มขึ้น
5. การยกหนี้ส่วนที่เหลือให้ โดยเจ้าหนี้พิจารณาประมาณการทางการเงินระยะยาว
ด้วยการตั้งสมมติฐานว่า เอสวีโอเอจะ
ไม่ทำการชำระคืนหนี้ที่เหลืออยู่ ซึ่งหนี้ดังกล่าวเจ้าหนี้จะยกหนี้
ให้ เพื่อว่าหลังจากยกหนี้ครั้งนี้แล้ว เอสวีโอเอที่ผ่านการฟื้นฟู
กิจการจะปราศจากหนี้สินใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากหนี้สินที่มีต่อ
เจ้าหนี้การค้า อันจะทำให้มั่นใจได้ว่า กิจการจะดำเนินอยู่ต่อไป และมีความแข็งแกร่งทางการเงินคล่องตัวขึ้น
โดยมีการยกหนี้
ให้ประมาณ 67.71% ของหนี้สินทั้งหมดที่ค้างชำระ ณ วันที่
19 กรกฎาคม 2542
6. การลดทุนครั้งที่สอง เพื่อให้เอสวีโอเอสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอนาคตอันใกล้
และเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งทาง การเงิน จึงต้องกำจัดผลขาดทุนทั้งหมด
เพื่อให้มีกำไรสะสม ด้วยการลดทุนลงร้อยละ 75 จากจำนวน 2,000 ล้านบาท เป็น
500 ล้านบาท ซึ่งผลจากการลดทุนทำให้กำไรสะสมของเอสวีโอเอได้รับปรับปรุงขึ้น
1,500 ล้านบาท
เมื่อมีกำไรสะสม เจ้าหนี้จะถือหุ้นจำนวนร้อยละ 90 ของทุนทั้งหมด
7. กระบวนการยกเลิกการพักการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นของเอสวีโอเอ
ซึ่งได้ถูกพักการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ 3 เมษายน 2541 และถูกย้ายไปยังหมวดของหุ้นที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการ
ดังนั้นเอสวีโอเอ
จึงมีความต้องการให้หุ้นกลับไปซื้อขายใหม่
อีกครั้งในตลาดหุ้น
นอกเหนือจากลดทุน เพิ่มทุน และแปลงหนี้เป็นทุนให้เจ้าหนี้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
90% ของทุนจดทะเบียน 500 ล้านแล้ว เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานหลัก (key
officer) ของเอสวีโอเอ จึงมีการเสนอขาย
หลักทรัพย์แก่กรรมการและพนักงาน เพื่อจัด สรรหุ้นของบริษัทให้กับพนักงานและผู้บริหาร
จำนวน 5 ล้านหุ้น ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 50 ล้านบาท เพิ่มเป็น 550
ล้านบาท
หลังจากดำเนินการทั้ง 7 ขั้นตอน เอสวีโอเอยื่นขอให้ตลาดหลักทรัพย์ย้าย
หลักทรัพย์จากหมวด REHABCO ไปยังหมวดปกติ ภายใต้หลักการของการที่บริษัทจดทะเบียนมีส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่าศูนย์
และสามารถแสดงได้ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ในธุรกิจหลักสองไตรมาสติดกัน
ปรากฏว่า งบการเงินของเอสวีโอเอ ไตรมาสที่สองของปี 2543 มีกำไรสุทธิจาก
การดำเนินงาน 8.42 ล้านบาท